- อย่าไปอินPosted 1 day ago
- ปีดับคนดังPosted 2 days ago
- เรื่องยังไม่จบPosted 3 days ago
- ต้องช่วยผู้หญิงขึ้นจากขุมนรกPosted 5 days ago
- คนดีสยบทุกอย่างได้Posted 5 days ago
- จัดการได้ก็ทำเถอะPosted 1 week ago
- ชวนทำบุญครั้งสุดท้ายPosted 1 week ago
- อย่าไปซ้ำเติมPosted 1 week ago
- คงมีโอกาสดีได้นะPosted 2 weeks ago
- ช่วยสร้างบรรยากาศชื่นมื่นPosted 2 weeks ago
จ่ายซะกาตฟิฏร์ ภารกิจของผู้ถือศีลอด
คอลัมน์ : สันติธรรม
ผู้เขียน : บรรจง บินกาซัน
(โลกวันนี้รายวัน ประจำวันที่ 14 เม.ย. 66 )
เมื่ออายุ 40 ปีนบีมุฮัมมัดได้รับการแต่งตั้งให้ปฏิบัติภารกิจนำวิถีชีวิตอิสลามมาเผยแผ่สั่งสอนผู้คนในเมืองมักก๊ะฮฺ ตลอดระยะเวลา 13 ปี ท่านนบีและชาวมักก๊ะฮฺที่หันมารับอิสลามต้องถูกต่อต้านด้วยวิธีการต่างๆตั้งแต่การดูถูก การติดสินบน การทรมาน การปิดล้อมคว่ำบาตรและการลอบสังหาร
เมื่อเห็นว่าชาวมักก๊ะฮฺไม่ยอมรับอิสลาม ในที่สุด นบีมุฮัมมัดและสาวกของท่านจึงต้องทะยอยกันอพยพจากเมืองมักก๊ะฮฺไปยังเมืองมะดีนะฮฺ เพราะที่นั่น ชาวเมืองสัญญาว่าจะช่วยเหลือท่านและจะให้ท่านเผยแผ่อิสลามได้อย่างเสรี
เมื่อไปถึงเมืองมะดีนะฮฺ นบีมุฮัมมัดจำเป็นต้องรีบวางรากฐานสังคมที่ใช้อิสลามเป็นแนวทางในการดำเนินชีวิต ท่านสร้างมัสยิดขึ้นมาเป็นศูนย์รวมทางจิตวิญญาณและฐานปฏิบัติการสร้างสังคม ท่านเรียกผู้อาศัยอยู่ในเมืองมะดีนะฮฺทุกเผ่ามาทำสัญญาร่วมกันรับผิดชอบในการปกป้องเมืองมะดีนะฮฺ และสร้างความสัมพันธ์ฉันพี่น้องระหว่างชาวเมืองมะดีนะฮฺกับผู้อพยพไปจากเมืองมักก๊ะฮฺโดยให้ชาวมะดีนะฮฺรับผู้อพยพไปอุปการะหนึ่งคนหากสามารถทำได้
แต่ถึงอย่างไรก็ตาม ชาวมะดีนะฮฺไม่สามารถรับมุสลิมผู้อพยพไปอุปการะได้หมด ดังนั้น ส่วนที่เหลือจึงต้องไปอาศัยอยู่ในมัสยิดที่ท่านสร้างขึ้นมาตั้งแต่แรกที่ไปถึงที่นั่น
ในเมืองมะดีนะฮฺ มีชุมชนชาวยิวอาศัยอยู่ในชานเมืองมาเป็นเวลานานแล้ว ชาวยิวจะสวดมนต์(หรือนมาซ)โดยหันหน้าไปทางเมืองเยรูซาเล็มซึ่งเป็นแผ่นดินของนบีหลายคนก่อนหน้านี้ นบีมุฮัมมัดและสาวกจึงหันหน้าไปทางเมืองเยรูซาเล็มเพราะท่านถือชาวยิวนับถือโมเสสผู้เป็นนบีก่อนหน้าท่าน
ชาวยิวมีการถือศีลอด นบีมุฮัมมัดได้สั่งมุสลิมผู้เป็นสาวกของท่านให้ถือศีลอดตามแบบชาวยิวเพราะในตอนนั้นยังไม่มีการกำหนดวิธีการถือศีลอดแบบอิสลามตามที่ปฏิบัติกันอยู่ในปัจจุบัน
เมื่อเวลาผ่านไปสองปีหลังการอพยพ ชาวยิวไม่ยอมรับความเป็นนบีของนบีมุฮัมมัด พระเจ้าจึงได้กำหนดการถือศีลอดแบบอิสลามที่แตกต่างไปจากการถือศีลอดของชาวยิวลงมา คือให้มุสลิมถือในเดือนรอมฎอนและถือเฉพาะเวลากลางวันซึ่งแตกต่างไปจากการถือศีลอดของชาวยิว
แต่ก่อนเดือนรอมฎอนมาถึง นบีมุฮัมมัดได้กำหนดให้มุสลิมสำรวจครอบครัวของตัวเองว่ามีอาหารเหลือพอกินหนึ่งวันหรือไม่ หากมีเหลือพอ มุสลิมผู้นั้นมีหน้าที่ต้องนำอาหารพื้นฐานในมาตรฐานที่ตัวเองกินเป็นประจำ เช่น ข้าวสารหรือข้าวสาลีประมาณ 4 กำมือกอบ(ปริมาณนี้เรียกว่า 1 เซาะอ์ ชั่งเป็นน้ำหนักได้ประมาณ 2.75 กิโลกรัม)ไปให้แก่คนที่ไม่มีกินหรือยากจนกว่าตน
ข้าวดังกล่าวนี้เรียกว่า “ซะกาตฟิฏร์” ที่มุสลิมต้องนำไปให้คนจนก่อนสิ้นสุดเดือนรอมฎอน หากมิเช่นนั้น พระเจ้าจะยังไม่รับการถือศีลอดของคนผู้นั้น หากมุสลิมคนใดมีภรรยา ลูกและผู้อยู่ใต้การดูแลของตน ในฐานะผู้นำครอบครัว มุสลิมผู้นั้นต้องจ่าย “ซะกาตฟิฏร์” แทนผู้ที่อยู่ใต้การดูแลของตนด้วย
นี่คือมาตรการที่นบีมุฮัมมัดเริ่มต้นขึ้นเพื่อวางรากฐานในการสร้างประชาคมอิสลาม ซะกาตฟิฏร์เป็นสิ่งที่เชื่อมโยงคนมีกินกับคนไม่มีกินให้ใกล้ชิดกัน มันทำให้คนจนไม่รู้สึกเสียศักดิ์ศรีเพราะมันเป็นหน้าที่สำหรับคนมีอันจะกินต้องนำไปให้เพื่อเป็นการถวายต่อพระเจ้า ให้ไปแล้วต้องไม่หวังสิ่งตอบแทนแม้แต่คำขอบคุณจากผู้รับเพราะมันเป็นสิทธิ์ของคนจนที่พระเจ้ามอบให้ มันทำให้คนจนยินดีที่ได้มีอาหารเลี้ยงฉลองในวันอีดุลฟิฏร์อย่างมีความสุข นอกจากนี้แล้ว การนำซะกาตฟิฏร์ไปให้คนจนด้วยตัวเองยังจะช่วยยกระดับจิตใจของผู้ให้ด้วย เพราะเมื่อเห็นสภาพความจนแล้ว ผู้ให้อาจเกิดความสงสารและให้อย่างอื่นเพิ่มเติมอีก
การจ่ายซะกาตฟิฏร์เป็นหน้าที่ที่ผูกติดอยู่กับการถือศีลอดที่ปฏิบัติกันมาตั้งแต่สมัยนบีมุฮัมมัดและมุสลิมทั่วโลกยังคงปฏิบัติต่อมาจนถึงทุกวันนี้และต่อไปจนถึงวันสิ้นโลก
You must be logged in to post a comment Login