- อย่าไปอินPosted 1 day ago
- ปีดับคนดังPosted 2 days ago
- เรื่องยังไม่จบPosted 3 days ago
- ต้องช่วยผู้หญิงขึ้นจากขุมนรกPosted 4 days ago
- คนดีสยบทุกอย่างได้Posted 5 days ago
- จัดการได้ก็ทำเถอะPosted 1 week ago
- ชวนทำบุญครั้งสุดท้ายPosted 1 week ago
- อย่าไปซ้ำเติมPosted 1 week ago
- คงมีโอกาสดีได้นะPosted 2 weeks ago
- ช่วยสร้างบรรยากาศชื่นมื่นPosted 2 weeks ago
ที่ไหน ที่ชีวิตจะสุขสบายอย่างแท้จริง?
คอลัมน์ : สันติธรรม
ผู้เขียน : บรรจง บินกาซัน
(โลกวันนี้รายวัน ประจำวันที่ 12 พ.ค. 66 )
มนุษย์ทุกคนล้วนต้องการมีชีวิตที่สุขสบาย ไม่ต้องทำงาน แต่มีกินมีใช้ สุขภาพร่างกายแข็งแรงและไม่เจ็บไข้ได้ป่วย แต่ใครเล่าที่จะมีสิ่งดังกล่าวครบถ้วน แม้ข้าราชการเกษียณกินบำนาญ ไม่ต้องทำงาน แต่ก็ยังป่วย หมดเรี่ยวแรง เงินที่สะสมมาตลอดชีวิตไม่อาจซื้อความสุขได้ตามที่ปรารถนา
สำหรับมนุษย์แล้ว ช่วงชีวิตที่แสนสบายที่สุดคือช่วงเวลาที่อยู่ในโลกแห่งครรภ์มารดา เพราะขณะอยู่ในครรภ์ มนุษย์ไม่ต้องทำอะไรเลย ภาพถ่ายจากเครื่องอุลตราซาวด์ทำให้เรารู้ว่าในตอนเป็นทารก เรานอนสบายอยู่ในครรภ์แม่โดยมีสายสะดือลำเลียงอาหารจากแม่มาให้เรา
ช่วงเวลาที่อยู่ในครรภ์ แม่จะสรรหาอาหารที่ดีที่สุดมากินเพื่อให้ลูกในครรภ์ได้กินสิ่งที่ดีที่สุด แต่แม่ไม่สามารถกลั่นสารอาหารที่จำเป็นและเหมาะสมสำหรับทารกได้เอง แม่ทำได้แค่เพียงเคี้ยวอาหารแล้วกลืนลงไปในกระเพาะ พระเจ้าผู้เป็นเจ้าของชีวิตต่างหากที่กลั่นสารอาหารให้ทารกในครรภ์ ขณะเดียวกันก็เตรียมน้ำนมไว้เป็นอาหารทิพย์สำหรับทารกที่จะคลอดออกมา เพราะทุกวันนี้ ความก้าวหน้าทางด้านวิทยาศาสตร์โภชนาการยังไม่สามารถผลิตน้ำนมที่มีคุณสมบัติเหมือนนมแม่ได้
แต่ครรภ์แม่เป็นโลกที่มีอายุเฉลี่ยเพียงเก้าเดือน เมื่อครบกำหนด ทารกต้องคลอดออกมาสู่โลกนี้ แม้สายสะดือที่ลำเลียงอาหารจากท้องแม่สู่ทารกจะถูกตัดขาด แต่ทารกยังมีน้ำนมแม่เป็นอาหารทิพย์ที่พระเจ้าเตรียมไว้รออยู่ หลังจากน้ำนมแม่หมดลง ทารกจะได้รับอาหารหลากหลายชนิดและมากมายกว่าอาหารที่อยู่ในครรภ์แม่ ถ้าทารกเห็นอาหารมากมายหลายชนิดในโลกนอกครรภ์แม่และมีความคิด ทารกคงอยากออกมาจากครรภ์แม่ก่อนกำหนดอย่างแน่นอน
แม้โลกหลังครรภ์แม่เป็นโลกที่มีอาหารมากมาย แต่มนุษย์ต้องทำงานเพื่อให้ได้มา โลกนี้จึงไม่สบายเหมือนโลกในครรภ์แม่ และมนุษย์ไม่สามารถที่จะกลับไปสู่โลกในครรภ์ที่แสนสบายได้อีกแล้ว
อย่างไรก็ตาม เมื่อมาอยู่บนโลกชั่วคราวใบนี้แล้ว มนุษย์ทุกคนได้รับเวลาไม่เท่ากันและไม่มีใครรู้ว่าตัวเองได้รับเวลานานเท่าใด ขณะมีชีวิต มนุษย์ทุกคนต้องตรากตรำทำงานและต้องได้รับเคราะห์กรรม ความทุกข์ยากลำบากเป็นบททดสอบว่าเขายังคงมุ่งมั่นทำความดี มีความศรัทธาในพระเจ้าที่เขาจะกลับไปหาหรือไม่
ดังนั้น หากเขาอยากมีชีวิตสุขสบายไม่ต้องทำงานเหมือนเมื่อตอนอยู่ในครรภ์แม่และได้รับปัจจัยยังชีพที่มากมายกว่าที่เขาเคยเห็นในโลกนี้ เขาจะต้องไปสู่อีกโลกหนึ่ง นั่นคือโลกหลังความตายซึ่งเป็นโลกที่ต่างไปจากโลกแห่งครรภ์มารดา มันเป็นโลกแห่งการตอบแทนการงานที่เขาได้ทำไป เป็นโลกที่เครื่องอุลตราซาวด์ไม่สามารถถ่ายภาพให้เห็นได้เหมือนตอนที่เขาอยู่ในครรภ์และมีตัวตนก่อนจะคลอดมาสู่โลกนี้
ด้วยเหตุนี้ ความตายจึงไม่ใช่การสิ้นสุดของชีวิต แต่ความตายเป็นการคลอดอีกครั้งหนึ่งจากครรภ์แห่งโลกนี้ไปสู่โลกหน้า จะต่างกันก็ตรงที่เมื่อเราคลอดออกมาจากครรภ์แม่ ผู้ทำคลอดจะนำรกของเราไปทิ้ง แต่ความตายเป็นการคลอดทางจิตวิญญาณที่สังขารของมนุษย์จะถูกทิ้งไว้ในโลกนี้ ส่วนวิญญาณจะมีผู้นำไปสู่อีกโลกหนึ่งซึ่งเป็นโลกที่เครื่องมือวิทยาศาสตร์ไม่สามารถถ่ายภาพให้เห็นได้
ขณะอยู่ในครรภ์ ทารกยังไม่ได้รับความสามารถในการมองเห็นและสติปัญญาในการคิด ทารกจึงไม่รู้ว่าโลกนอกครรภ์แม่มีอะไรอีกมากมาย แต่เมื่อมนุษย์คลอดออกมาโดยมีสติปัญญาและความสามารถในการมองเห็น ปัจจัยยังชีพอันมากมายในโลกหลังความตายจึงถูกปิดบังไว้เพื่อเป็นการทดสอบว่ามนุษย์จะเชื่อในเรื่องโลกหลังความตายหรือไม่
ความสุขสบายที่แท้จริงและมนุษย์ต้องการนั้นมีอยู่ในสวรรค์ที่เดียว เพราะที่นั่น มนุษย์ไม่ต้องทำงาน และมนุษย์จะได้รับทุกอย่างที่เขาต้องการ วัยของเขาจะเหมือนคนมีอายุราว 33 ปี ไม่มีการเจ็บป่วย ไม่แก่และจะมีชีวิตนิรันดร์
ไม่เชื่อ ไม่อยากไปก็ไม่ว่ากัน
You must be logged in to post a comment Login