- อย่าไปอินPosted 1 day ago
- ปีดับคนดังPosted 2 days ago
- เรื่องยังไม่จบPosted 3 days ago
- ต้องช่วยผู้หญิงขึ้นจากขุมนรกPosted 4 days ago
- คนดีสยบทุกอย่างได้Posted 5 days ago
- จัดการได้ก็ทำเถอะPosted 1 week ago
- ชวนทำบุญครั้งสุดท้ายPosted 1 week ago
- อย่าไปซ้ำเติมPosted 1 week ago
- คงมีโอกาสดีได้นะPosted 2 weeks ago
- ช่วยสร้างบรรยากาศชื่นมื่นPosted 2 weeks ago
ชีวิตเร้นลับในโลกมนุษย์ (2)
คุณเรียกทูตสวรรค์ แต่เพื่อนฉันเรียกเทวดา
คอลัมน์ : สันติธรรม
ผู้เขียน : บรรจง บินกาซัน
(โลกวันนี้รายวัน ประจำวันที่ 26 พ.ค. 66 )
ความเชื่อในการมีอยู่ของสิ่งเร้นลับหรือสิ่งที่ไม่อาจมองเห็นมีอยู่ในทุกศาสนา หนึ่งในนั้นคือความเชื่อในเรื่องการมีอยู่ของทูตสวรรค์ที่มนุษย์ถือว่าเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์และให้ความเคารพนับถือ
ศาสนาพุทธมีความเชื่อในการมีอยู่ของ “เทวดา” ซึ่งหมายถึงชาวสวรรค์ที่อาศัยอยู่ต่างภพกับมนุษย์ มีอำนาจเหนือธรรมชาติ สามารถดลบันดาลให้สิ่งดีและร้ายเกิดขึ้นได้ ถ้าเป็นเพศชายเรียกว่าเทพบุตร เพศหญิงเรียกว่าเทพธิดา
แต่เพราะมองไม่เห็นและไม่เข้าใจ มนุษย์จึงทำสิ่งที่มองไม่เห็นออกมาเป็นรูปร่างตามจินตนาการของตนเพื่อบูชาสักการะ เมื่อสร้างจินตนาการเทวดาได้ มนุษย์ก็เอาเทวดามาทำภาพยนตร์หรือแม้แต่นำมาเป็นตัวประกอบในละครตลก เทวดาจึงกลายเป็นเรื่องตลกและถูกลดความน่าเชื่อถือลง แต่ในอิสลาม สิ่งใดที่เร้นลับหรือมองไม่เห็น มุสลิมไม่ได้รับอนุญาตให้ปั้นหรือวาดขึ้นมาตามจินตนาการ
ศาสนาคริสต์ก็มีความเชื่อในเรื่องทูตสวรรค์เช่นกัน คัมภีร์ไบเบิลยังระบุชื่อทูตสวรรค์ที่สำคัญไว้ด้วย เช่น กาเบรียล มีคาเอล ราฟาเอลและยูเรียล คัมภีร์ไบเบิลยังกล่าวว่าทูตสวรรค์มีปีก ดังนั้น ชาวตะวันตกจึงจินตนาการกามเทพเป็นเด็กมีปีกและถือคันธนูกับศรรัก
ชาวอาหรับก่อนสมัยอิสลามก็มีความเชื่อในเรื่องทูตสวรรค์เช่นกันและถือว่าทูตสวรรค์เป็นลูกสาวของพระเจ้า ดังนั้น ชาวอาหรับจึงวาดรูปทูตสวรรค์ไว้บนกำแพงด้านหนึ่งของก๊ะอฺบ๊ะฮฺ
เนื่องจากการมีอยู่ของทูตสวรรค์ซึ่งในภาษาอาหรับเรียกว่า “มลาอิก๊ะฮฺ” เป็นความจริงและเพื่อให้มนุษย์มีความรู้อย่างถูกต้อง จะได้ไม่ไปเคารพสักการะทูตสวรรค์เป็นพระเจ้า ความรู้ในเรื่องทูตสวรรค์จึงถูกประทานแก่นบีมุฮัมมัดซึ่งสามารถศึกษาได้จากคัมภีร์กุรอานและจากคำพูดของนบีมุฮัมมัด
ประการแรกเลย คัมภีร์กุรอานปฏิเสธเด็ดขาดว่าพระเจ้าไม่มีทั้งลูกชายและลูกสาว มิหนำซ้ำยังแดกดันชาวอาหรับว่าตัวเองต้องการลูกชาย แต่กลับทึกทักว่าพระเจ้ามีลูกสาว นอกจากนี้แล้ว นบีมุฮัมมัดยังกล่าวว่าในชั้นฟ้าเบื้องบนเหนือก๊ะอฺบ๊ะฮฺขึ้นไปมีสถานที่แห่งหนึ่งซึ่งเรียกว่า “บัยตุลมะมูรฺ” ที่กลุ่มทูตสวรรค์จำนวนเจ็ดหมื่นองค์จะมาเวียนรอบ เมื่อครบเจ็ดรอบแล้วก็จะออกไปโดยไม่กลับมาอีกและจะมีทูตสวรรค์จำนวนเท่ากันอีกกลุ่มหนึ่งมาเวียนรอบตลอดเวลาโดยไม่ซ้ำกัน เป็นเช่นนี้มาก่อนที่จะมีการสร้างก๊ะอฺบ๊ะฮฺที่มุสลิมไปเวียนรอบในพิธีฮัจญ์ นี่เป็นการบอกถึงจำนวนที่นับไม่ถ้วนของมลาอิก๊ะฮฺ
คัมภีร์กุรอานยังบอกอีกว่ามลาอิก๊ะฮฺถูกสร้างมาจากแสง มนุษย์จึงไม่สามารถมองเห็นมลาอิก๊ะฮฺ แต่มลาอิก๊ะฮฺมองเห็นมนุษย์ เนื่องจากแสงเดินทางด้วยความเร็ว 186,000 ไมล์ต่อวินาที ดังนั้น พระเจ้าจึงใช้มลาอิก๊ะฮฺที่มีนามว่าญิบรีล(กาเบรียล)ทำหน้าที่เป็นสื่อกลางในการติดต่อกับนบีเพื่อให้นบีนำสารของพระเจ้าไปบอกมนุษย์
ในสมัยที่อับราฮัมอยู่ในวัยชรา พระเจ้าได้ให้ทูตสวรรค์แปลงร่างเป็นชายหนุ่มรูปงามสามคนเดินทางไปยังเมืองโซดอมเพื่อทำลายเมืองนี้เพราะผู้คนในเมืองทำบาปใหญ่ที่ไม่เคยมีมนุษย์หรือสัตว์เคยทำมาก่อน นั่นคือ การมีความสัมพันธ์ทางเพศในหมู่ผู้ชายด้วยกัน
ระหว่างทาง ทูตสวรรค์ในร่างของชายหนุ่มสามคนได้พบอับราฮัม อับราฮัมต้อนรับอาคันตุกะทั้งสามโดยการส่งเนื้อย่างให้ แต่ชายหนุ่มทั้งสามปฏิเสธ เพราะทูตสวรรค์ไม่กินและไม่ดื่ม การปฏิเสธไมตรีนี้ทำให้อับราฮัมตกใจ ชายหนุ่มทั้งสามจึงเฉลยให้อับราฮัมรู้ว่าพวกเขาคือทูตสวรรค์ที่พระเจ้าส่งไปทำลายเมืองโซดอมที่ลูฏ(โลท)ลูกพี่ลูกน้องของเขาอยู่ที่นั่น อับราฮัมจึงบอกให้ชายหนุ่มทั้งสามรับรู้เพื่อมิให้ลูฏและผู้ศรัทธาต้องได้รับเคราะห์กรรมด้วย
ก่อนจะจากไป ทูตสวรรค์ได้แจ้งข่าวดีแก่อับราฮัมว่าเขาจะมีลูกชาย(อิสฮาก)กับนางซาราห์ที่อยู่ในวัยชราแล้ว ไม่เพียงแค่นั้น ทูตสวรรค์ยังบอกว่าลูกชายของเขาจะมีลูกชายที่ชื่อยะกู๊บ(ยาโกบ)ด้วย
การมีอยู่ของทูตสวรรค์ในโลกมนุษย์จึงเป็นสิ่งที่แสดงว่าพระเจ้าไม่เพียงแต่ไม่ทอดทิ้งบ่าวผู้ศรัทธาเท่านั้น แต่ยังให้ความคุ้มครองและความช่วยเหลือด้วย
ในตอนที่นบีมุฮัมมัดถูกชาวเมืองฏออีฟขับไล่และเอาหินขว้างจนท่านต้องหนีออกจากเมืองในสภาพร่างกายชุ่มไปด้วยเลือด ทูตสวรรค์ที่ทำหน้าที่ดูแลภูเขาได้พูดกับท่านว่าหากท่านประสงค์จะทำลายเมืองนี้ ทูตสวรรค์จะให้ภูเขาบีบทำลายเมืองนี้ให้สิ้นซาก แต่นบีมุฮัมมัดไม่ประสงค์เช่นนั้นโดยบอกว่าชาวเมืองรุ่นนี้อาจไม่เชื่อ แต่ในอนาคต ลูกหลานของชาวเมืองนี้อาจจะเชื่อก็ได้
เมื่อนบีมุฮัมมัดต้องทำสงครามป้องกันการรุกรานจากศัตรูและมุสลิมมีกำลังน้อยกว่า พระเจ้าจะส่งมลาอิก๊ะฮฺเป็นกองทัพที่มองไม่เห็นมาช่วยและทำให้มุสลิมได้รับชัยชนะ
นบีมุฮัมมัดบอกเราให้รู้ว่ามนุษย์ทุกคนมีมลาอิก๊ะฮฺเฝ้าติดตามบันทึกการกระทำและคำพูดทุกอย่างไว้ และทุกวันพฤหัส มลาอิก๊ะฮฺเหล่านี้จะนำบันทึกการกระทำของมนุษย์ไปไว้เป็นหลักฐานในวันพิพากษา
You must be logged in to post a comment Login