- ถ้า “ทักษิณ” พ้นโทษPosted 2 hours ago
- ไม่ลด-ละ-เลิก- อันตรายPosted 1 day ago
- อย่าด้อยค่าวันสำคัญศาสนาPosted 2 days ago
- เสียเพราะรักPosted 5 days ago
- ตำรวจไทยโชว์ฝีมือPosted 6 days ago
- สามัคคีปรองดองกันให้ดีPosted 1 week ago
- ต้องมีก้างขวางคอไว้บ้างPosted 1 week ago
- ส.ว.ต้องสร้างผลงานเชิดชูองค์กรPosted 1 week ago
- รอความจริงเปิดเผยPosted 2 weeks ago
- ไม่ประมาท โอกาสรอดมีเยอะPosted 2 weeks ago
หนุนสร้าง“ป่าชุมชน” เพื่อความยั่งยืน สร้างระบบนิเวศน์บริการ
![](https://www.lokwannee.com/web2013/wp-content/uploads/2023/07/04-13.jpg)
ในปี พ.ศ.2562 ได้มีการประกาศใช้ “พ.ร.บ.ป่าชุมชน” เป็นฉบับแรก ในวันที่ 24 พฤษภาคม 2562 และคณะรัฐมนตรีมีมติให้ วันที่ 24 พฤษภาคมของทุกปีเป็น “วันป่าชุมชนแห่งชาติ” หัวใจสำคัญของการมี พ.ร.บ.ป่าชุมชน คือ การแก้ไขปัญหาการลุกล้ำพื้นที่ป่าไม้ และรวมการส่งเสริมให้มีการทำฝายมีชีวิต เพื่อแก้ไขความยากจนของชาวบ้านที่เกิดจากการที่ประชาชนในชนบทไม่มีสิทธิ์ในการดูแลและพึ่งพาอาศัยและใช้ประโยชน์จากฐานทรัพยากรป่า
![](https://www.lokwannee.com/web2013/wp-content/uploads/2023/07/02-17.jpg)
โดย พ.ร.บ.นี้ ต้องการส่งเสริมให้ชุมชนได้ร่วมกับรัฐในการอนุรักษ์ ฟื้นฟู จัดการ บำรุงรักษาและใช้ประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติ สิ่งแวดล้อม และความหลากหลายทางชีวภาพได้อย่างสมดุลและยั่งยืนในรูปแบบของป่าชุมชน ซึ่งป่าชุมชนนี้จะต้องเป็นป่านอกเขตป่าอนุรักษ์หรือพื้นที่อื่นของรัฐ นอกเขตป่าอนุรักษ์ และได้รับการอนุมัติให้จัดตั้งเป็นป่าชุมชน โดยชุมชนร่วมกับรัฐในการอนุรักษ์ ฟื้นฟู จัดการ บำรุงรักษา ตลอดจนใช้ประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติสิ่งแวดล้อม และความหลากหลายทางชีวภาพในป่าชุมชนอย่างสมดุลและยั่งยืนตามเจตนารมณ์ของ พ.ร.บ.ป่าชุมชน
จากข้อมูลของ กรมป่าไม้ พบว่า มีการจัดตั้งป่าชุมชนทั่วประเทศแล้ว 12,117 แห่ง ชุมชนมีส่วนร่วม 13,855 หมู่บ้าน เนื้อที่รวม 6.64 ล้านไร่ มีประชาชนได้รับประโยชน์จากป่า 3,948,675 ครัวเรือน เพิ่มรายได้ จำนวน 4,907 ล้านบาท การกักเก็บคาร์บอนของต้นไม้ในป่าชุมชนเพื่อช่วยลดภาวะโลกร้อน รวม 42 ล้านตันคาร์บอน การกักเก็บน้ำในดินและการปล่อยน้ำท่า 4.562 ล้านลูกบาศก์เมตร และการประเมินมูลค่าของระบบนิเวศน์ของป่า 595,857 ล้านบาท กรมป่าไม้ตั้งเป้าสนับสนุนการจัดตั้งป่าชุมชนเพิ่มเป็น 15,000 แห่งทั่วประเทศ ชุมชนมีส่วนร่วม 18,000 หมู่บ้าน เนื้อที่รวม 10 ล้านไร่ ในปี 2570
![](https://www.lokwannee.com/web2013/wp-content/uploads/2023/07/03-15.jpg)
สสส.หนุนสร้างป่าชุมชน เน้นแก้ปัญหาที่ต้นเหตุ
ที่ สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (องค์การมหาชน) (พอช.) กรุงเทพฯ ได้มีการลงนามในบันทึกความร่วมมือ(MOU) สนับสนุนและการขับเคลื่อนการบริหารจัดการป่าชุมชนและฝายมีชีวิตเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน โดย ดร.ชาติวุฒิ วังวล ผู้อำนวยการสำนักสนับสนุนการควบคุมปัจจัยเสี่ยงสุขภาพ สสส. กล่าวว่า ปัญหาสิ่งแวดล้อมเป็นหนึ่งในปัจจัยเสี่ยงสำคัญต่อสุขภาพประชาชน แต่ปัจจุบันโลกเราไม่สามารถหลีกเลี่ยงปัญหาสิ่งแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงรวดเร็วและรุนแรงมากขึ้น รายงานสถานการณ์สิ่งแวดล้อมโลกจาก World Economic Forum เมื่อปี 2022 พบว่า ความเสี่ยงที่ร้ายแรงที่สุดใน 3 อันดับแรกของโลกช่วง 10 ปีต่อจากนี้ คือ ความเสี่ยงด้านสิ่งแวดล้อม ซึ่งจะเห็นได้ชัดในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา ปรากฏการณ์ลานีญาที่เกิดขึ้น ส่งผลกระทบต่อสภาพอากาศของไทย ทำให้เกิดปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็ก (PM2.5) คุณภาพอากาศเลวร้าย โดยเฉพาะภาคเหนือติดอันดับเมืองคุณภาพอากาศแย่ที่สุดในโลกหลายวันติดต่อกัน แนวทางแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อมที่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพดังกล่าว “ป่าชุมชน” เป็นอีกหนึ่งของกลไกที่สามารถจัดการปัญหานี้ได้ โดย สสส. สานพลังภาคีเครือข่าย ทำงานอย่างมีส่วนร่วมกับชุมชนตามฐานทรัพยากรของพื้นที่ รวมถึงหนุนเสริมกลไกบริหารจัดการด้วยองค์ความรู้ทางวิชาการ พร้อมพัฒนาศักยภาพของพื้นที่ให้เกิดการสร้างรายได้ภายใต้แนวคิดเศรษฐกิจหมุนเวียนจากป่าชุมชนคาร์บอนเครดิต ให้ประชาชนเห็นประโยชน์ของป่าที่มากกว่าสิ่งแวดล้อม แต่ยังมีประโยชน์ต่อเศรษฐกิจ และสุขภาพอย่างยั่งยืนด้วย
“ สสส.ย่างเข้าสู่ปีที่ 21 ซึ่งทาง สสส.ได้พยายามแก้ปัญหาที่ต้นเหตุตามปรัชญาของ สสส. คือ การสร้างนำซ่อม ทำให้มีภูมิคุ้มกันต้านทาน สำหรับโครงการนี้ตนมองว่าเป็นการสร้างศักยภาพให้ชุมชน ทำให้ชุมชนมีส่วนร่วมในการจัดการสิ่งที่ดีที่เริ่มต้นด้วยตนเองทำให้ชุมชนเข้มแข็งและขยับเขยื้อนได้และมีภาคีเข้ามาช่วย ซึ่งจะทำอย่างไรให้คนเห็นปัญหาแล้วอยากมีส่วนร่วมในการทำให้ชุมชนมาร่วมแก้ไขปัญหา สุดท้ายป่าชุมชน คือชีวิตของผู้คนในพื้นที่เป็นการทำงานอย่างมีทิศทางและมีการกระจายอำนาจ” นายชาติวุฒิ กล่าวว่า
ลงทุน 3 ล้าน ได้ค่าตอบแทน 21 ล้าน
นายเดโช ไชยทัพ ประธานคณะทำงานสนับสนุนการขับเคลื่อนป่าชุมชนและฝายมีชีวิต พอช. กล่าวว่า การขับเคลื่อนโครงการป่าชุมชนและฝายมีชีวิต จะดำเนินกิจกรรมหลัก 4 กิจกรรม 1. อนุรักษ์และแบ่งประเภทการใช้ประโยชน์ของป่าชุมชนและฝายมีชีวิต 2. บริหารจัดการน้ำของชุมชน 3. พัฒนาศักยภาพองค์กรชุมชนและเครือข่าย 4. ใช้ประโยชน์จากป่าชุมชนและฝายมีชีวิตบนฐานการบริหารการจัดทรัพยากรอย่างยั่งยืน เช่น การเชื่อมโยงเศรษฐกิจสีเขียว (BCG) ซึ่งการดำเนินกิจกรรมต่างๆ เหล่านี้จะใช้งบประมาณดำเนินการรวม 3,498,000 บาท แต่จะสามารถตีเป็นมูลค่าการตอบแทนทางสังคมได้กว่า 21 ล้านบาทในการขับเคลื่อนปีที่ 1 และต่อยอดการดำเนินการของชุมชน รวมทั้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่ออีกอย่างน้อย 5 ปี นอกจากนี้ จะสามารถช่วยพัฒนาคุณภาพชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนให้ดีขึ้น มีส่วนร่วมในการบริหารป่าชุมชน ด้วยการสร้างอาชีพ ฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติให้มีความอุดมสมบูรณ์ และพัฒนาศักยภาพของชุมชน และเป็นส่วนหนุนเสริมให้เกิดประโยชน์ทั้งทางตรงและทางอ้อมกลับคืนสู่ชุมชนอย่างยั่งยืน คณะทำงานชุดนี้จะทำหน้าที่ส่งเสริมชุมชนที่มีความพร้อมและอยากจัดตั้งป่าชุมชน รวมทั้งชุมชนที่จัดตั้งป่าชุมชนแล้ว จัดทำแผนจัดการป่าชุมชนและฝายมีชีวิต และใช้ประโยชน์จากป่าตาม พ.ร.บ.ป่าชุมชน พ.ศ. 2562 เพื่อเป็นพื้นที่นำร่องประมาณ 15 แห่งภายในปีนี้ และนำไปขยายผลในพื้นที่อื่นๆ ต่อไป
![](https://www.lokwannee.com/web2013/wp-content/uploads/2023/07/01-17.jpg)
ดร.กอบศักดิ์ ภูตระกูล ประธานกรรมการ พอช. กล่าวว่า ในพื้นที่ 1 ไร่ จะปลูกต้นไม้ดีๆ ได้ประมาณ 200 ต้น ได้ต้นละ 2-3 หมื่นบาท จะได้มูลค่าประมาณ 2 ล้านบาท หาก 1 ชุมชนปลูก 1,000 ไร่ จะสร้างมูลค่ากว่า 2,000 ล้านบาท ประเทศไทยจะเปลี่ยนไปใน 3 ปีด้วยมือเรา และในอนาคตจะมีการต่อยอดในพื้นที่ป่าชายเลนที่สามารถจัดทำแผนเพื่อการท่องเที่ยวเชิงนิเวศน์ สร้างอาชีพ สร้างรายได้ สร้างพื้นที่สีเขียว ป่าไม้ประเทศไทยจะอุดมสมบูรณ์ ชาวบ้านก็จะอยู่ดีมีสุข
![](https://www.lokwannee.com/web2013/wp-content/uploads/2023/07/06-10.jpg)
สอพ.สร้างป่าชุมชนตัวอย่างสร้างสิ่วแวดล้อม เสริมรายได้
นายจีระศักดิ์ ตรีเดช (ดิว) นายกสมาคมเพื่อการอนุรักษ์และพัฒนาเทือกเขาเพชรบูรณ์ (สอพ) กล่าวว่า การเกิดป่าชุมชนในพื้นที่เกิดจากประชาชนในพื้นที่ประสบภัยพิบัติทางธรรมชาติ ทำให้ประชาชนในพื้นที่เกิดความสูญเสียขึ้นมา และเมื่อมีการสืบค้นหาข้อมูลของการเกิดภัยพิบัติ ชาวบ้านจึงได้มาชวนตนเองให้มาร่วมกันปลูกป่าชุมชนขึ้นมา ต้องย้อนกลับไปว่า การชะล้างของหน้าดินมีความสูญเสียหน้าดินประมาณ 20 ตันต่อไร่ต่อปี มีภาวะความอ่อนไหวและความเสี่ยงรวมถึง ความเปราะบางของพื้นที่ที่ก่อให้เกิดภัยพิบัติได้ นอกจากนี้มีการเชื่อมโยงกับปัญหาต่างๆ เช่น ไม่มีน้ำดื่มน้ำกิน จึงเกิดป่าชุมชนที่เป็นระบบนิเวศน์ขึ้นมารวมถึงเรื่องอาหาร จึงเกิดระบบนิเวศบริการขึ้นมา
การทำงานเริ่มจาก พื้นที่ปลูกป่าชุมชนเป็นพื้นที่เลี้ยงสัตว์เป็นป่าละเมาะ เราจึงเชิญทุกภาคส่วนมาร่วมกันมาช่วยกันปลูกป่า ทั้งนายอำเภอ ตำรวจ ทหาร รวมถึงชาวบ้านและท้องถิ่น เราเริ่มปลูกกันตั้งแต่ผู้ว่าราชการปัจจุบันเป็นนายอำเภอ แกก็อยากจะกลับมาดูป่าที่เราปลูก จากพื้นที่ที่มีการไหลของหน้าดินมาเยอะ เราไม่สามารถปลูกพืชโตเร็วได้ จึงหันมาปลูกไผ่ ซึ่งจะช่วยชะลอการไหลของหน้าดินได้ ประโยชน์ที่ได้คือ หน่อไม้ที่ได้ใช้ทั้งเพื่อบริโภคและขาย ชาวบ้านไม่ต้องนอนแบบหวาดผวาเวลามีน้ำหลาก เพราะพื้นที่ชาวบ้านอยู่ต่ำกว่า ลดการชะล้างพังทลายของหน้าดิน
![](https://www.lokwannee.com/web2013/wp-content/uploads/2023/07/05-12.jpg)
เดิมการสูญเสียหน้าดิน ที่มีตะกอนแขวนลอยไหลลงมาที่เขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ เป็นจำนวนมากทำให้เขื่อนป่าสักฯมีความจุจำนวน 96 ล้าน ลูกบาศก์เมตร ถ้าดินตะกอนมาทับถมที่เขื่อนป่าสัก จะทำให้เวลาที่น้ำป่าไหลหลากลงมา ทำให้เขื่อนจุน้ำได้น้อย จะทำให้น้ำท่วมอย่างรวดเร็วอย่างในปี2554 ป่าสักฯจะมีประสิทธิภาพในการกักเก็บน้ำลดลงเรื่อยๆ ซึ่งจะมีผลกระทบต่อคนอยุธยา คนกรุงเทพ เพราะฉะนั้นถ้าเราช่วยกันกักเก็บหน้าดิน จะทำให้เกิดระบบนิเวศน์บริการที่สมบูรณ์ รวมถึงสิ่งแวดล้อมในพื้นที่ต้นน้ำ
นายธีระศักดิ์ กล่าวว่า ในพื้นที่ของต้นเองเป็นป่าปลูกที่แตกต่างจากพื้นที่อื่น ซึ่งในอดีตน้ำดื่มยังไม่มี พอเราฟื้นฟูป่าขึ้นมา ปรากฏว่าชาวบ้านเริ่มมีน้ำดื่ม น้ำกินในหมู่บ้าน และสามารถนำน้ำไปใช้ในเรื่องการเกษตร ตอนนี้พวกเราเลยคิดเรื่องการฟื้นฟูพื้นที่ป่าควบคู่ไปกับพื้นที่การเกษตรด้วย และคิดถึงพื้นที่ป่ารอยสวน เพราะว่าจะลดการใช้ประโยชน์จากป่าก็จะต้องไปทำเรื่องของการพึ่งตนเองเป็นอันดับแรก
You must be logged in to post a comment Login