วันพฤหัสที่ 21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2567

หลักฐานการเป็นนบีเริ่มปรากฏ

On September 22, 2023

คอลัมน์ : สันติธรรม

ผู้เขียน : บรรจง บินกาซัน

(โลกวันนี้รายวัน ประจำวันที่  22 ก.ย. 66 )

นบีมุฮัมมัดเกิดมาเป็นเด็กกำพร้าพ่อในเมืองมักก๊ะฮฺประมาณ ค.ศ.570 ท่ามกลางสังคมอาหรับยุคอวิชชา   อยู่กับแม่ได้สักพักก็ถูกส่งให้แม่นมชาวอาหรับนอกเมืองรับไปเลี้ยงในทะเลทรายตามประเพณี

การที่ครอบครัวชาวอาหรับฐานะดีส่งทารกไปเลี้ยงดูในทะเลทรายก็เพราะเหตุผลบางประการ เช่น นอกเมืองมักก๊ะฮฺอากาศดีกว่าในเมืองซึ่งจะทำให้ทารกมีสุขภาพดี  เพราะมักก๊ะฮฺเป็นเมืองการค้าที่มีภูเขาล้อมรอบ  การเดินทางเข้าออกของกองคาราวานอาจทำให้สภาพอากาศไม่ดี  อีกประการหนึ่ง เนื่องจากเป็นเมืองที่มีพ่อค้าต่างถิ่นเข้ามาค้าขายและพ่อค้าเหล่านี้ใช้ภาษาตลาดซึ่งอาจมีกระทบต่อภาษาอาหรับเบดูอินที่ชาวอาหรับกุเรชหวงแหน  จึงส่งทารกมุฮัมมัดไปให้แม่นมชื่อฮาลิมะฮฺเลี้ยงดู

อีกเหตุผลหนึ่งที่นักวิชาการตะวันตกพยายามจะอธิบายประเพณีดังกล่าวก็คือ ชาวอาหรับจะเอาทารกที่มีรูปร่างผิดปกติหรือร่างกายมีตำหนิที่ทำให้พ่อแม่คิดว่าทารกของตัวเองจะไม่รอดไปให้คนเลี้ยงนอกเมือง  ทารกมุฮัมมัดเกิดมามีก้อนเนื้อคล้ายปานปูดขึ้นมาระหว่างไหล่สองข้าง  จึงเป็นเสมือนตำหนิที่ทำให้ถูกส่งไปเลี้ยงในทะเลทราย  แต่นักวิชาการตะวันตกไม่รู้ว่านั่นคือเครื่องหมายของการเป็นนบี

เด็กน้อยมุฮัมมัดถูกส่งกลับมาสู่อ้อมอกแม่อีกครั้งตอนอายุประมาณ 4 ขวบ  แม่ลูกอยู่ด้วยกันสักสองปี  นางอามินะฮฺคิดถึงอับดุลลอฮฺสามีของนางที่ร่างถูกฝังไว้ที่เมืองยัษริบ  นางจึงพาลูกน้อยไปเยี่ยมสุสานของสามีโดยมีอุมมุอัยมันหญิงรับใช้ติดตามไปด้วย

หลังจากเยี่ยมหลุมศพของสามีแล้ว  นางอามินะฮฺได้เสียชีวิตลง  มุฮัมมัดจึงกลายเป็นเด็กกำพร้าทั้งพ่อและแม่ตั้งแต่อายุ 6 ขวบ  อุมมุอัยมันจึงนำเด็กชายมุฮัมมัดกลับมายังมักก๊ะฮฺ  แต่เนื่องจากอับดุลมุฏอลิบตายไปแล้ว  เด็กชายมุฮัมมัดจึงต้องไปอยู่กับอบูฏอลิบผู้เป็นลุงโดยมีอุมมุอัยมันเป็นผู้เลี้ยงดูด้วยความรัก

แม้อบูฏอลิบเป็นผู้นำคนหนึ่งในเมืองมักก๊ะฮฺ  แต่เขามีอาชีพทำการค้าที่ต้องนำกองคาราวานสินค้าจากมักก๊ะฮฺไปขายที่ซีเรียและซื้อสินค้าที่นั่นกลับมาขายต่อในเมืองมักก๊ะฮฺ  วันหนึ่ง  ขณะที่เขาเตรียมกองคาราวานนำสินค้าไปขาย  เด็กชายมุฮัมมัดขอที่จะเดินทางไปกับกองคาราวานด้วย  แต่ในตอนนั้น มุฮัมมัดเพิ่งมีอายุได้ 12 ปี  อบูฏอลิบจึงไม่อนุญาต  แต่ในที่สุดเขาก็ต้องยอมเมื่อทนการรบเร้าจากหลานไม่ไหว

ระหว่างทางก่อนถึงซีเรีย  กองคาราวานของอบูฏอลิบต้องผ่านที่พำนักของนักบวชคริสเตียนชื่อบะฮีเราะฮ์เป็นประจำ  แต่คราวนี้  บะฮีเราะฮ์ได้ออกมาดักกองคาราวานของเขาไว้และเชิญคนในกองคาราวานดื่มน้ำ  หลังจากทุกคนดื่มน้ำแล้ว  นักบวชถามอบูฏอลิบว่ายังมีใครที่ยังไม่ได้ดื่มน้ำอีกไหม  อบูฏอลิบว่ามุฮัมมัดหลานชายของเขาอีกคนหนึ่งที่ยังไม่ได้ดื่มเพราะต้องดูแลอูฐ  บะฮีเราะฮ์จึงขอให้เขาเรียกหลานชายเข้ามา

บะฮีเราะฮ์ดักกองคาราวานไว้เพราะเขาสังเกตเห็นว่าขณะที่กองคาราวานกำลังเคลื่อนที่ใกล้เข้ามายังสถานที่ของเชา มีเมฆก้อนหนึ่งลอยตามกองคาราวานเหมือนกับจะบังแสงแดดให้ใครบางคนในกองคาราวาน  เขาจึงเห็นว่านี่ไม่ใช่ปรากฏการณ์ธรรมดา

เมื่อเด็กชายมุฮัมมัดเข้ามาหา  บะฮีเราะฮ์จึงขอถามอะไรบางอย่างกับเด็กน้อยและขึ้นต้นคำถามด้วยคำสาบานต่ออัลลาตและอุซา  แต่คำสาบานของเขาทำให้เด็กชายมุฮัมมัดโกรธ  เพราะเขาไม่ชอบให้ใครสาบานกับเขาด้วยสิ่งศักดิ์สิทธิ์อื่นนอกจากอัลลอฮฺ  ด้วยท่าทีเช่น  บะฮีเราะฮ์จึงเริ่มมันใจในสิ่งที่เขารู้มาจากคัมภีร์ก่อนๆ

หลังจากนั้น  เมื่อเขาสังเกตเห็นปานที่ปูดขึ้นมาระหว่างไหล่สองข้างของมุฮัมมัด  เขาจึงแน่ใจว่าเด็กคนนี้คือนบีที่ถูกกล่าวไว้ในคัมภีร์ที่เขาศึกษามา  เขาจึงบอกอบูฏอลิบว่ามุฮัมมัดจะเป็นนบีที่คัมภีร์ก่อนหน้านี้กล่าวไว้และให้เขาปกป้องดูแลหลานของเขา เพราะเขาจะถูกต่อต้านจนต้องหนีออกจากเมืองมักก๊ะฮฺ

สี่สิบปีหลังจากนั้น  สิ่งที่นักบวชบะฮีเราะฮ์พูดล่วงหน้าไว้ก็เป็นจริง


You must be logged in to post a comment Login