- ปีดับคนดังPosted 10 hours ago
- เรื่องยังไม่จบPosted 2 days ago
- ต้องช่วยผู้หญิงขึ้นจากขุมนรกPosted 3 days ago
- คนดีสยบทุกอย่างได้Posted 3 days ago
- จัดการได้ก็ทำเถอะPosted 7 days ago
- ชวนทำบุญครั้งสุดท้ายPosted 1 week ago
- อย่าไปซ้ำเติมPosted 1 week ago
- คงมีโอกาสดีได้นะPosted 1 week ago
- ช่วยสร้างบรรยากาศชื่นมื่นPosted 1 week ago
- หนีกรรมไม่พ้นPosted 2 weeks ago
หลักฐานการเป็นนบีเริ่มปรากฏ
คอลัมน์ : สันติธรรม
ผู้เขียน : บรรจง บินกาซัน
(โลกวันนี้รายวัน ประจำวันที่ 22 ก.ย. 66 )
นบีมุฮัมมัดเกิดมาเป็นเด็กกำพร้าพ่อในเมืองมักก๊ะฮฺประมาณ ค.ศ.570 ท่ามกลางสังคมอาหรับยุคอวิชชา อยู่กับแม่ได้สักพักก็ถูกส่งให้แม่นมชาวอาหรับนอกเมืองรับไปเลี้ยงในทะเลทรายตามประเพณี
การที่ครอบครัวชาวอาหรับฐานะดีส่งทารกไปเลี้ยงดูในทะเลทรายก็เพราะเหตุผลบางประการ เช่น นอกเมืองมักก๊ะฮฺอากาศดีกว่าในเมืองซึ่งจะทำให้ทารกมีสุขภาพดี เพราะมักก๊ะฮฺเป็นเมืองการค้าที่มีภูเขาล้อมรอบ การเดินทางเข้าออกของกองคาราวานอาจทำให้สภาพอากาศไม่ดี อีกประการหนึ่ง เนื่องจากเป็นเมืองที่มีพ่อค้าต่างถิ่นเข้ามาค้าขายและพ่อค้าเหล่านี้ใช้ภาษาตลาดซึ่งอาจมีกระทบต่อภาษาอาหรับเบดูอินที่ชาวอาหรับกุเรชหวงแหน จึงส่งทารกมุฮัมมัดไปให้แม่นมชื่อฮาลิมะฮฺเลี้ยงดู
อีกเหตุผลหนึ่งที่นักวิชาการตะวันตกพยายามจะอธิบายประเพณีดังกล่าวก็คือ ชาวอาหรับจะเอาทารกที่มีรูปร่างผิดปกติหรือร่างกายมีตำหนิที่ทำให้พ่อแม่คิดว่าทารกของตัวเองจะไม่รอดไปให้คนเลี้ยงนอกเมือง ทารกมุฮัมมัดเกิดมามีก้อนเนื้อคล้ายปานปูดขึ้นมาระหว่างไหล่สองข้าง จึงเป็นเสมือนตำหนิที่ทำให้ถูกส่งไปเลี้ยงในทะเลทราย แต่นักวิชาการตะวันตกไม่รู้ว่านั่นคือเครื่องหมายของการเป็นนบี
เด็กน้อยมุฮัมมัดถูกส่งกลับมาสู่อ้อมอกแม่อีกครั้งตอนอายุประมาณ 4 ขวบ แม่ลูกอยู่ด้วยกันสักสองปี นางอามินะฮฺคิดถึงอับดุลลอฮฺสามีของนางที่ร่างถูกฝังไว้ที่เมืองยัษริบ นางจึงพาลูกน้อยไปเยี่ยมสุสานของสามีโดยมีอุมมุอัยมันหญิงรับใช้ติดตามไปด้วย
หลังจากเยี่ยมหลุมศพของสามีแล้ว นางอามินะฮฺได้เสียชีวิตลง มุฮัมมัดจึงกลายเป็นเด็กกำพร้าทั้งพ่อและแม่ตั้งแต่อายุ 6 ขวบ อุมมุอัยมันจึงนำเด็กชายมุฮัมมัดกลับมายังมักก๊ะฮฺ แต่เนื่องจากอับดุลมุฏอลิบตายไปแล้ว เด็กชายมุฮัมมัดจึงต้องไปอยู่กับอบูฏอลิบผู้เป็นลุงโดยมีอุมมุอัยมันเป็นผู้เลี้ยงดูด้วยความรัก
แม้อบูฏอลิบเป็นผู้นำคนหนึ่งในเมืองมักก๊ะฮฺ แต่เขามีอาชีพทำการค้าที่ต้องนำกองคาราวานสินค้าจากมักก๊ะฮฺไปขายที่ซีเรียและซื้อสินค้าที่นั่นกลับมาขายต่อในเมืองมักก๊ะฮฺ วันหนึ่ง ขณะที่เขาเตรียมกองคาราวานนำสินค้าไปขาย เด็กชายมุฮัมมัดขอที่จะเดินทางไปกับกองคาราวานด้วย แต่ในตอนนั้น มุฮัมมัดเพิ่งมีอายุได้ 12 ปี อบูฏอลิบจึงไม่อนุญาต แต่ในที่สุดเขาก็ต้องยอมเมื่อทนการรบเร้าจากหลานไม่ไหว
ระหว่างทางก่อนถึงซีเรีย กองคาราวานของอบูฏอลิบต้องผ่านที่พำนักของนักบวชคริสเตียนชื่อบะฮีเราะฮ์เป็นประจำ แต่คราวนี้ บะฮีเราะฮ์ได้ออกมาดักกองคาราวานของเขาไว้และเชิญคนในกองคาราวานดื่มน้ำ หลังจากทุกคนดื่มน้ำแล้ว นักบวชถามอบูฏอลิบว่ายังมีใครที่ยังไม่ได้ดื่มน้ำอีกไหม อบูฏอลิบว่ามุฮัมมัดหลานชายของเขาอีกคนหนึ่งที่ยังไม่ได้ดื่มเพราะต้องดูแลอูฐ บะฮีเราะฮ์จึงขอให้เขาเรียกหลานชายเข้ามา
บะฮีเราะฮ์ดักกองคาราวานไว้เพราะเขาสังเกตเห็นว่าขณะที่กองคาราวานกำลังเคลื่อนที่ใกล้เข้ามายังสถานที่ของเชา มีเมฆก้อนหนึ่งลอยตามกองคาราวานเหมือนกับจะบังแสงแดดให้ใครบางคนในกองคาราวาน เขาจึงเห็นว่านี่ไม่ใช่ปรากฏการณ์ธรรมดา
เมื่อเด็กชายมุฮัมมัดเข้ามาหา บะฮีเราะฮ์จึงขอถามอะไรบางอย่างกับเด็กน้อยและขึ้นต้นคำถามด้วยคำสาบานต่ออัลลาตและอุซา แต่คำสาบานของเขาทำให้เด็กชายมุฮัมมัดโกรธ เพราะเขาไม่ชอบให้ใครสาบานกับเขาด้วยสิ่งศักดิ์สิทธิ์อื่นนอกจากอัลลอฮฺ ด้วยท่าทีเช่น บะฮีเราะฮ์จึงเริ่มมันใจในสิ่งที่เขารู้มาจากคัมภีร์ก่อนๆ
หลังจากนั้น เมื่อเขาสังเกตเห็นปานที่ปูดขึ้นมาระหว่างไหล่สองข้างของมุฮัมมัด เขาจึงแน่ใจว่าเด็กคนนี้คือนบีที่ถูกกล่าวไว้ในคัมภีร์ที่เขาศึกษามา เขาจึงบอกอบูฏอลิบว่ามุฮัมมัดจะเป็นนบีที่คัมภีร์ก่อนหน้านี้กล่าวไว้และให้เขาปกป้องดูแลหลานของเขา เพราะเขาจะถูกต่อต้านจนต้องหนีออกจากเมืองมักก๊ะฮฺ
สี่สิบปีหลังจากนั้น สิ่งที่นักบวชบะฮีเราะฮ์พูดล่วงหน้าไว้ก็เป็นจริง
You must be logged in to post a comment Login