วันจันทร์ที่ 22 กรกฎาคม พ.ศ. 2567

สสส.ชูนวัตกรรมคู่มือ “WalkShop” กระตุ้นกิจกรรมทางกายหนุ่ม-สาวออฟฟิศ

On September 29, 2023

สสส.จับมือ กทม.-ทีแพค จัดเวที PA Forum EP.1  – Active Environment for All พร้อมผุดนวัตกรรมคู่มือ “WalkShop” กระตุ้นกิจกรรมทางกายกลุ่มหนุ่ม-สาวออฟฟิศ สุขภาพดี หลุดพ้นจากกลุ่มโรค NCDs 

คนไทยตายเพราะกลุ่มโรคไม่ติดต่อ (NCDs)เพียบ

ที่ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ กรุงเทพฯ นพ.สุรเชษฐ์ สถิตนิรามัย รองประธานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) คนที่ 2 กล่าวในพิธีเปิดงานเสวนาวิชาการและนโยบายด้านกิจกรรมทางกาย (PA Forum) EP.1 – Active Environment for All การพัฒนาพื้นที่สุขภาวะที่ทุกคนมีส่วนร่วม ว่า จากข้อมูลคนไทยเสียชีวิตก่อนวัยอันควร (อายุ 30-70 ปี) ปี 2565 โดยสหประชาชาติ พบมากถึง 74% สาเหตุหลักมาจากกลุ่มโรคไม่ติดต่อ (NCDs) สสส. เห็นความสำคัญของปัญหาที่เกิดขึ้น ได้เร่งสานพลังภาคีเครือข่ายขับเคลื่อนงานเพื่อลดพฤติกรรมเสี่ยงการเกิดโรค NCDs เน้นลดความเหลื่อมล้ำในสังคม สอดคล้องยุทธศาสตร์ SDGs ของสหประชาชาติ

ทั้งนี้ ภารกิจหลักของ สสส. คือการเสริมสร้างสุขภาวะที่ดีให้กับประชาชน ที่ผ่านมาพบว่า NCDs กลุ่มโรคไม่ติดต่อ เรื้อรัง ได้แก่ โรคเบาหวาน โรคหลอดเลือดสมองและหัวใจ โรคถุงลมโป่งพอง โรคมะเร็ง โรคความดันโลหิตสูง โรคไขมันในเลือดสูง และโรคอ้วนลงพุง เป็นปัญหาสุขภาพที่สำคัญ สสส. จึงให้ความสำคัญเป็นอย่างมากในแง่การลดความเสี่ยงของการเกิดโรค ซึ่งสอดคล้องกับแนวทาง SDG ของสหประชาชาติ ที่ไม่เพียงแต่มุ่งเน้นเฉพาะเรื่องสุขภาพและความเป็นอยู่ แต่ยังได้ให้ความสำคัญกับการลดความเหลื่อมล้ำสร้างความเท่าเทียมให้กับประชากรทุกกลุ่มในการมีกิจกรรมทางกาย

“สสส. ร่วมกับ ศูนย์พัฒนาองค์ความรู้ด้านกิจกรรมทางกายประเทศไทย (ทีแพค) สถาบันวิจัยประชากรและสังคม มหาวิทยาลัยมหิดล และภาคีเครือข่ายส่งเสริมกิจกรรมทางกาย จัดงานครั้งนี้ เพื่อเปิดพื้นที่แลกเปลี่ยนเรียนรู้และหาแนวทางการพัฒนาพื้นที่สุขภาวะให้เอื้อต่อการมีสุขภาพและคุณภาพชีวิตที่ดี ผลักดันสู่นโยบายเพื่อการส่งเสริมพื้นที่สุขภาวะตามทิศทางเป้าหมายเชิงยุทธศาสตร์ และต่อยอดความสำเร็จของการดำเนินงานด้านการส่งเสริมพื้นที่สุขภาวะที่ทุกคนมีส่วนร่วม” นพ.สุรเชษฐ์ กล่าว

นอกจากนี้ กิจกรรมทางกาย เป็นหนึ่งในยุทธศาสตร์การขับเคลื่อนสังคมสุขภาวะ 7+1 ของ สสส. เพื่อลดปัจจัยเสี่ยงต่อการเจ็บป่วยของประชาชน โดยสนับสนุนและกระตุ้นให้ทุกคนมีกิจกรรมทางกายอย่างพอเพียง แต่ยังรวมถึงการสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการมีกิจกรรมทางกาย เพื่อลดความเสี่ยงกลุ่มโรค NCDs ในการเสวนาวิชาการและนโยบายด้านกิจกรรมทางกาย EP 1 : พัฒนาพื้นที่สุขภาวะที่ทุกคนมีส่วนร่วม: Active Environment for All ครั้งนี้มีเป้าหมายสำคัญเพื่อเสริมสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับความสำคัญของพื้นที่สุขภาวะที่มีต่อการดำเนินชีวิตของ ผู้คน เพื่อนำไปสู่การพัฒนาสังคมไทยให้เป็นสังคมสุขภาวะ หรือการมีสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการมีกิจกรรมทางกาย

ไทยมีพื้นที่สีเขียวต่ำกว่ามาตรฐาน WHO

ดร.นพ.ไพโรจน์ เสาน่วม ผู้ช่วยผู้จัดการกองทุน สสส. กล่าวว่า นโยบายของ สสส. ในเรื่องของ Health Promotion  ต้องการส่งเสริมให้คนไทยมี Health Active Lifestyle จึงมีการดำเนินนโยบายส่งเสริมการพัฒนาพื้นที่สุขภาวะมาอย่างต่อเนื่อง โดยบูรณาการร่วมกับภาคีเครือข่าย ตามแนวทางขององค์การอนามัยโลกที่ได้ขับเคลื่อน Global Action on Physical Activity เป้าประสงค์ทางยุทธศาสตร์ที่ 2 การสร้างสภาพแวดล้อมที่ต่อการมีกิจกรรมทางกาย จากข้อมูลงานวิจัยพบว่า การจะส่งเสริมให้คนไทยมีกิจกรรมทางกายเพิ่มขึ้นนั้น จำเป็นต้องมีพื้นที่สุขภาวะที่เหมาะสมในแต่พื้นที่ เพื่อเป็นพื้นที่ที่เปิดโอกาสให้ผู้คนสามารถเข้าใช้และประกอบกิจกรรมเพื่อสนับสนุนให้เกิดไปสู่สุขภาวะที่ดี ได้อย่างสาธารณะ

“สถานการณ์โควิด-19 ช่วง 3 ปีที่ผ่านมา ย้ำเตือนให้เราตระหนักว่า การมีกิจกรรมทางกายที่ไม่เพียงพอทำให้เสี่ยงต่อการเสียชีวิต โดยจะเห็นได้ว่าผู้ป่วยในกลุ่มโรค NCDร จะเสียชีวิตมากกว่าคนทั่วไป TPAC ได้มีการศึกษาวิจัยพบว่าคนไทยมีกิจกรรมทางกายลดลงอย่างชัดเจน จากระดับ 74.6 % ก่อนโควิด ลดลงมาเหลือ 55 % จากที่เรานั่งนิ่ง ๆ วันละ 13 ชั่วโมง เราก็นั่งกันมากขึ้นเป็น 14 ชั่วโมงกว่า ซึ่งจะยิ่งทำให้สุขภาพร่างกายเราแย่ลงเรื่อย ๆ จะทำอย่างไรให้ประเทศไทยเรากลับมา active เหมือนเดิม การประชุมวิชาการวันนี้ ต้องการระดมสมองระดมข้อมูลวิชาการต่าง ๆ เพื่อช่วยกันแก้ปัญหา เพื่อทำให้คนไทยได้ขยับเขยื้อนร่างกายมากขึ้น โดยเฉพาะการสนับสนุนทั้งในเชิงวิชาการยุทธศาสตร์นโยบายต่างๆ รวมทั้งการมีพื้นที่สุขภาวะที่ทุกคนมีส่วนร่วมได้” ดร.นพ.ไพโรจน์กล่าว

ดร.นพ.ไพโรจน์  กล่าวต่อว่า ข้อมูลสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) ด้านพื้นที่สีเขียว ระบุอัตราส่วนพื้นที่สีเขียวต่อประซากรในกรุงเทพมหานคร อยู่ที่ 7ตารางเมตร/คน หากนับรวมประชากรแฝง คาดว่ามีประมาณ 10 ล้านคน อัตราส่วนพื้นที่สีเขียวต่อประชากรอยู่ที่ 3.54 ตารางเมตร/คนเท่านั้น ถือว่าสภาพไม่ผ่านเกณฑ์มาตรฐานของ WHO ขณะที่ศูนย์ออกแบบและพัฒนาเมือง (UddC) ทำการสำรวจพบว่า กรุงเทพฯ มีระยะทางเฉลี่ยในการเข้าถึงพื้นที่สีเขียวที่ใกล้ที่สุดประมาณ 4.5 กิโลเมตรโดยต้องใช้เวลาถึง 60 นาที การจะทำให้พื้นที่สุขภาวะกระจายตัวให้ทั่วถึงประชากรทุกระดับ สสส.จึงทำหน้าที่ในการเชื่อมประสานเครือข่ายเพื่อพัฒนากระบวนการความร่วมมือ พัฒนาองค์ความรู้และการจัดการพื้นที่ พร้อมทั้งผลักดันนโยบายในระดับประเทศ

“สสส. และภาคีเครือข่ายร่วมกันพัฒนาและผลักดันให้เกิดพื้นที่สุขภาวะในระยะที่ประชาชนสามารถเข้าถึงได้อย่างสวนขนาดเล็ก (Pocket Park) ซึ่งสามารถเข้าถึงได้ในระยะ 400-800 เมตร ใช้เวลาในการเดินทางเข้าถึงไม่เกิน 15 นาที เพื่อจูงใจและกระตุ้นให้คนไทยลุกขึ้นมาขยับร่างกายให้มากขึ้น ให้มีกิจกรรมทางกาย และลดพฤติกรรมเนือยนิ่ง ซึ่งจะทำให้คนไทยหลุดพ้นจากการเป็นโรคในกลุ่มโรค NCDs และลดอัตราการเสียชีวิตก่อนวัยอันควร ทั้งยังเป็นการส่งเสริมสุขภาพจิตของประชากรเมือง ส่งเสริมระบบนิเวศน์เมือง ส่งเสริมการเรียนรู้ และความสัมพันธ์ทางสังคม และส่งเสริมเศรษฐกิจของย่านไปพร้อมกัน”

พื้นที่สุขภาวะคือ สภาพแวดล้อมทางกายภาพ ทั้งที่เป็นรูปแบบพื้นที่ว่าง และรูปแบบที่ผสานผสานกับระบบสัญจร ที่ได้รับการออกแบบเชิงกายภาพ และการจัดการเพื่อการสาธารณะ สสส. มีการดำเนินงานพัฒนาที่สุขภาวะร่วมกับภาคีเครือข่ายเครือข่ายสร้างเสริมสุขภาพ, เครือข่ายพื้นที่สุขภาวะ และกรุงเทพมหานคร ในการพัฒนา ย่านพื้นที่สุขภาวะ เช่น คลองสานกะดีจีน, ย่านจีนถิ่นบางกอก, ย่านพระโขนงบางนา พื้นที่สุขภาวะ เช่น ลานกีฬาพัฒน์ 1-2, สวนหัวลำโพงรุกชนิเวศน์, พื้นที่ใต้ทางด่วน พื้นที่สุขภาวะภาษีเจริญ และ เส้นทางสัญจร เมืองเดินได้เดินดี ในย่านต่าง ๆ ของ กทม.

นายพรพรหม วิกิตเศรษฐ์ ที่ปรึกษาผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร กล่าวว่า กทม. มีนโยบายที่สำคัญในการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมคนเมืองให้หันมาดูแลรักษาสุขภาพ ปรับพื้นที่เมืองกรุงเทพฯ ให้กลายเป็นพื้นที่สุขภาวะ สานพลัง สสส. และเครือข่ายของชุมชนทำงานร่วมกันให้มีคุณภาพและยั่งยืน ภายใต้แนวคิดการส่งเสริมพื้นที่สุขภาวะอย่างเสมอภาคใน 3 ประเด็นสำคัญ 1. เส้นเลือดฝอยและสุขภาพคนกรุง พัฒนาระบบสาธารณสุขดูแลเข้าถึงคนในชุมชน 2. สังคมผู้สูงอายุและโรคคนเมือง จัดตั้งชมรมผู้สูงอายุไม่ให้เป็นผู้ป่วยไม่ติดเตียง เน้นให้มีกิจกรรมทางกายนอกบ้าน เกิดเป็น 360 ชมรม ใน 45 ชุมชน รวมถึงพัฒนาพื้นที่สาธารณะ “สวน 15 นาที” 3. ปัญหาโรคทางเดินหายใจ ลดมลพิษทางสิ่งแวดล้อม การสานพลังขับเคลื่อนการทำงานตั้งแต่ระดับปฐมภูมิ ดูแลชุมชน ลดความเหลื่อมล้ำด้านสุขภาพ ส่งผลให้กรุงเทพฯ เป็นเมืองน่าอยู่สำหรับทุกคนได้

ผุดนวัตกรรมคู่มือ”WalkShop”

นางสาวนิรมล ราศรี รักษาการผู้อำนวยการสำนักสร้างเสริมวิถีชีวิตสุขภาวะ สสส. (สำนัก 5) กล่าวว่า การพัฒนาพื้นที่สุขภาวะที่ทุกคนสามารถมีส่วนร่วมได้นั้นถือเป็นกลยุทธ์สำคัญที่จะช่วยส่งเสริมให้ประชาชนมีกิจกรรมทางกายที่เพิ่มขึ้น หลักฐานเชิงประจักษ์ที่สามารถยืนยันประโยคข้างต้นได้เป็นอย่างดีคือ “การสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการมีกิจกรรมทางกาย” เป็นหนึ่งในยุทธศาสตร์สำคัญของแผนปฏิบัติการระดับโลกเพื่อส่งเสริมกิจกรรมทางกาย ปี พ.ศ. 2561-2573 หรือ GAPPA ที่ว่าด้วยเรื่องของการให้ความสำคัญกับความจำเป็นในการสร้างพื้นที่และสถานที่ที่ส่งเสริมการมีกิจกรรมทางกายและปกป้องสิทธิความเท่าเทียมให้กับผู้คนทุกวัยและทุกสมรรถภาพในการใช้พื้นที่ในเมือง ชุมชน และสถานที่ที่มีความปลอดภัยและเอื้อให้ทุกคนมีกิจกรรมทางกายอย่างสม่ำเสมองานเสวนาการส่งเสริมกิจกรรมทางกาย “PA Forum : EP.1 – Active Environment for All การพัฒนาพื้นที่สุขภาวะที่ทุกคนมีส่วนร่วม

ทั้งนี้ สสส. พัฒนานวัตกรรมคู่มือการจัดกิจกรรม “WalkShop : เครื่องมือส่งเสริมการจัด Healthy Active Meeting” เป็นคู่มือการจัดการ “เดินประชุม” ในรูปแบบอินโฟกราฟิก 29 หน้า ที่ปฏิบัติตามได้ง่าย นอกจากช่วยเพิ่มเวลาในการมีกิจกรรมทางกายเพื่อการมีสุขภาพที่ดี ยังช่วยส่งเสริมการแลกเปลี่ยนความคิดใหม่ๆ ที่เกิดขึ้นระหว่างการเดิน รวมถึงสร้างความสัมพันธ์ที่ดีในองค์กร โดยคู่มือ “WalkShop” มุ่งเป้าปรับปรุงสภาพแวดล้อมการทำงานที่ส่งเสริมสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดี เอื้อให้วัยทำงานมีกิจกรรมทางกายที่เพียงพอ ลดพฤติกรรมเนือยนิ่ง หน่วยงานที่สนใจสามารถดาวน์โหลดใช้ได้ที่เว็บไซต์ https://tpak.or.th/backend/print_media_file/739/คู่มือการจัดกิจกรรม%20WalkShop.pdf


You must be logged in to post a comment Login