- อย่าไปอินPosted 2 days ago
- ปีดับคนดังPosted 3 days ago
- เรื่องยังไม่จบPosted 4 days ago
- ต้องช่วยผู้หญิงขึ้นจากขุมนรกPosted 5 days ago
- คนดีสยบทุกอย่างได้Posted 6 days ago
- จัดการได้ก็ทำเถอะPosted 1 week ago
- ชวนทำบุญครั้งสุดท้ายPosted 1 week ago
- อย่าไปซ้ำเติมPosted 2 weeks ago
- คงมีโอกาสดีได้นะPosted 2 weeks ago
- ช่วยสร้างบรรยากาศชื่นมื่นPosted 2 weeks ago
จากมักก๊ะฮฺสู่มะดีนะฮฺ จากวิกฤตสู่โอกาส
คอลัมน์ : สันติธรรม
ผู้เขียน : บรรจง บินกาซัน
(โลกวันนี้รายวัน ประจำวันที่ 24 พ.ย. 66 )
สิบสามปีเต็มๆที่นบีมุฮัมมัดเผยแผ่สั่งสอนเรื่องความศรัทธาในพระเจ้าองค์เดียวท่ามกลางการต่อต้านของชาวเมืองมักก๊ะฮฺส่วนใหญ่ที่เสพติดการกราบไหว้เจว็ดบูชาและผลประโยชน์ทางวัตถุ ตลอดระยะเวลาดังกล่าว นบีมุฮัมมัดไม่เคยสั่งมุสลิมที่อ่อนแอและมีจำนวนน้อยใช้กำลังโต้ตอบ แต่ท่านกำชับสาวกทุกคนให้ใช้ความอดทนอดกลั้นและการวิงวอนขอความช่วยเหลือต่อพระเจ้าเป็นอาวุธ
แต่เมื่อสถานการณ์เลวร้ายลงเรื่อยๆจนถึงขั้นหากอยู่ก็ถูกไล่ หากไม่ไปก็ถูกฆ่า ในที่สุด พระเจ้าได้มีบัญชาให้ท่านอพยพออกจากมักก๊ะฮฺไปสู่เมืองยัษริบหรือมะดีนะฮฺ
ยัษริบมีปัจจัยที่เอื้ออำนวยให้แก่การปฏิบัติภารกิจเผยแผ่อิสลามเป็นอย่างมาก เพราะยัษริบเป็นเมืองที่มีพื้นที่ทำการเกษตร ผิดกับมักก๊ะฮฺที่ปลูกอะไรไม่ได้เลย และที่นั่นเป็นถิ่นที่อยู่อาศัยของชุมชนพหุวัฒนธรรมที่เมล็ดพันธุ์แห่งอิสลามเติบโตได้ง่ายด้วยเหตุผลสองสามประการ
ประการแรก ยัษริบมีสองเผ่าใหญ่ที่อพยพมาจากเยเมนเมื่อหลายร้อยปีก่อน แต่สองเผ่านี้ไม่ลงรอยกันในเรื่องจะให้ใครเป็นผู้นำที่ทั้งสองฝ่ายยอมรับ แต่เมื่อตัวแทนของสองเผ่านี้ไปทำฮัจญ์และพบนบีมุฮัมมัด ทั้งสองเผ่าต่างเห็นพ้องต้องกันที่จะเชิญนบีมุฮัมมัดให้มาเป็นผู้นำของพวกตนในเมืองยัษริบและตัวแทนสองเผ่านี้สัญญาว่าจะให้ความช่วยเหลือมุสลิมและนบีมุฮัมมัดในการเผยแผ่อิสลาม ชาวยัษริบเหล่านี้จึงถูกเรียกว่า “อันซอรีย์” ซึ่งหมายถึง “ผู้ให้ความช่วยเหลือ”
ประการที่สอง นอกจากสองเผ่าใหญ่ในแผ่นดินอาหรับแล้ว ชานเมืองยัษริบยังมีพวกลูกหลานอิสราเอลที่มิใช่ชาวอาหรับสามเผ่ามาตั้งถิ่นฐานอยู่ที่นี่อย่างน้อยห้าร้อยปีก่อนนบีมุฮัมมัดถือกำเนิด ลูกหลานอิสราเอลสามเผ่านี้อพยพหลบหนีจากการถูกกองทัพโรมันกวาดล้างทำลายเมืองเยรูซาเล็มเมื่อ ค.ศ.70
ประการที่สาม ยัษริบเวลานั้นเป็นสังคมเผ่า ไม่มีรัฐบาลที่มีอำนาจสูงสุด เผ่าเล็กต้องอาศัยการคุ้มครองจากเผ่าใหญ่จึงจะอยู่รอด ส่วนเผ่าใหญ่ๆก็ไม่ต้องการให้อีกเผ่าหนึ่งมีอำนาจเหนือเผ่าตน
ลูกหลานอิสราเอลรู้จักพระเจ้า รู้จักชื่อนบีที่เป็นบรรพบุรุษของพวกตน เชื่อในโลกหลังความตาย มีคัมภีร์ทางศาสนา ปัจจัยดังกล่าวนี้ทำให้ดูเหมือนว่านบีมุฮัมมัดคงสามารถเผยแผ่คำสอนอิสลามในหมู่คนเหล่านี้ได้ง่ายดาย แต่มันกลับมิได้เป็นเช่นนั้น เพราะพวกลูกหลานอิสราเอลถือว่าตัวเองเป็นชนชาติที่เหนือกว่าและมีความรู้มากกว่าชาวอาหรับ
นบีมุฮัมมัดได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่นเมื่ออพยพไปถึงยัษริบ ผู้คนต่างพยายามชวนให้ท่านไปอยู่ที่บ้านของตน แต่เพื่อมิให้เกิดความรู้สึกเลือกที่รักมักที่ชัง ท่านจึงขอให้ทุกคนที่ปรารถนาดีต่อท่านดูว่าอูฐพาหนะที่ท่านขี่ไปคุกเข่าลงตรงไหน ท่านจะสร้างที่พักของท่านตรงนั้น
เนื่องจากมีมุสลิมชาวมักก๊ะฮฺจำนวนไม่น้อยอพยพล่วงหน้ามายังเมืองยัษริบก่อนหน้านบีมุฮัมมัดและคนเหล่านี้ต่างไม่ได้นำทรัพย์สินติดตัวมา จึงตกอยู่ในสถานะลำบาก ท่านจึงขอให้ชาวเมืองยัษริบที่มีฐานะดีรับผู้อพยพจากมักก๊ะฮฺไปดูแล ส่วนที่เหลือ ท่านได้สร้างมัสยิดขึ้นเป็นศูนย์กลางทางด้านจิตวิญญาณและเป็นแหล่งพักพิงของผู้ที่อพยพมาจากมักก๊ะฮฺ
นบีมุฮัมมัดรู้ดีว่าถึงแม้ท่านอพยพออกจากเมืองมักก๊ะฮฺแล้ว หัวหน้าชาวเมืองมักก๊ะฮฺคงไม่ปล่อยให้ท่านและอิสลามเติบใหญ่เป็นพลังท้าทายอำนาจและผลประโยชน์ของพวกตนอย่างแน่นอน ดังนั้น ท่านจึงเรียกทุกกลุ่มชนที่อาศัยอยู่ในเมืองยัษริบมาทำข้อตกลงในการอยู่ร่วมกัน ข้อตกลงนี้อาจเรียกได้ว่าเป็นธรรมนูญแรกของเมืองยัษริบที่จะเติบโตเป็นรัฐอิสลามแห่งแรกของโลก ข้อตกลงมีสาระโดยสรุปดังนี้
- ยัษริบเป็นเมืองของทุกเผ่าและทุกเผ่าต้องร่วมกันป้องกันเมืองเมื่อถูกรุกราน
- แต่ละกลุ่มแต่ละเผ่าต้องรับผิดชอบการจ่ายค่าสินไหมถ้าคนของตนไปฆ่าใครหรือไถ่ตัวคนของตนเองที่ถูกจับตัวเป็นเชลย
- ทุกเผ่ามีสิทธิเสรีภาพทางความเชื่อและการปฏิบัติศาสนกิจตามความเชื่อของตน
- เมื่อมีความขัดแย้งเกิดขึ้นเกี่ยวกับสิ่งใดในข้อตกลงนี้ เรื่องทั้งหมดต้องให้ขึ้นอยู่กับการตัดสินของนบีมุฮัมมัด
ข้อตกลงดังกล่าวเป็นเพียงส่วนหนึ่งจากทั้งหมด 51 ข้อ มันบ่งบอกถึงการยอมรับความเป็นผู้นำของนบีมุฮัมมัดและกุศโลบายทางการเมืองของท่านในสังคมพหุวัฒนธรรมซึ่งทำให้ยัษริบเริ่มค่อยๆก่อตัวเป็นรัฐในความหมายทางวิชารัฐศาสตร์เป็นครั้งแรกในคาบสมุทรอาหรับ
You must be logged in to post a comment Login