- ปีดับคนดังPosted 5 hours ago
- เรื่องยังไม่จบPosted 1 day ago
- ต้องช่วยผู้หญิงขึ้นจากขุมนรกPosted 3 days ago
- คนดีสยบทุกอย่างได้Posted 3 days ago
- จัดการได้ก็ทำเถอะPosted 7 days ago
- ชวนทำบุญครั้งสุดท้ายPosted 1 week ago
- อย่าไปซ้ำเติมPosted 1 week ago
- คงมีโอกาสดีได้นะPosted 1 week ago
- ช่วยสร้างบรรยากาศชื่นมื่นPosted 1 week ago
- หนีกรรมไม่พ้นPosted 2 weeks ago
เริ่มต้นของกฎการทำศึกในอิสลาม
คอลัมน์ : สันติธรรม
ผู้เขียน : บรรจง บินกาซัน
(โลกวันนี้รายวัน ประจำวันที่ 8 ธ.ค. 66 )
ตลอดระยะเวลาสิบสามปีที่นบีมุฮัมมัดใช้เวลาเผยแผ่อิสลามอยู่ในเมืองมักก๊ะฮฺ แม้จะถูกข่มขู่คุกคามและต่อต้านถึงขั้นเอาชีวิต แต่นบีมุฮัมมัดได้สั่งสาวกของท่านมิให้ยกแม้แต่กำปั้นขึ้นโต้ตอบ แต่ท่านกำชับสาวกของท่านให้ใช้ความอดทนและวิงวอนขอความช่วยเหลือต่อพระเจ้า อีกมาตรการหนึ่งที่ท่านใช้เมื่อพระเจ้าอนุญาตก็คือการให้สาวกของท่านกลุ่มหนึ่งอพยพไปหลบภัยอยู่ที่อบิสสิเนีย
เมื่อการต่อต้านอิสลามถึงขั้นอยู่ก็ถูกไล่ ไม่ไปก็ถูกฆ่า นบีมุฮัมมัดและมุสลิมที่เหลือจึงอพยพไปยังเมืองยัษริบ
แม้นบีมุฮัมมัดอพยพไปยังเมืองยัษริบแล้ว บรรดาหัวหน้าชาวมักก๊ะฮฺก็ยังไม่พอใจเพราะเกรงว่าในวันข้างหน้า มุสลิมจะเติบโตเข้มแข็งขึ้นมาท้าทายอำนาจของตน ดังนั้น หัวหน้าชาวอาหรับจึงเตรียมจัดทัพกำจัดนบีมุฮัมมัดและมุสลิมในเมืองยัษริบให้สิ้นซาก
ในสถานการณ์เช่นนี้เอง พระเจ้าได้อนุญาตให้มุสลิมที่ถูกกดขี่ข่มเหงจับอาวุธต่อสู้เพื่อป้องกันตนเองด้วยเหตุผลและกฎของการต่อสู้ด้วยอาวุธไว้ดังต่อไปนี้ :
“ทำไมสูเจ้าจึงไม่ต่อสู้ในหนทางของพระเจ้าเพื่อผู้ชาย ผู้หญิงและเด็กที่อ่อนแอและถูกกดขี่ และพวกเขาร้องว่า ‘โอ้พระเจ้าของเรา โปรดทรงนำเราออกจากเมืองที่ผู้คนของมันเป็นผู้กดขี่ข่มเหง และโปรดตั้งผู้คุ้มครองจากพระองค์ให้แก่เรา และได้โปรดตั้งผู้ช่วยเหลือแก่เราด้วยเถิด’” (กุรอาน 4.75)
“สำหรับบรรดาผู้ถูกโจมตีนั้นได้รับอนุญาตให้ต่อสู้ เพราะพวกเขาถูกกดขี่ข่มเหง และพระเจ้าทรงสามารถช่วยพวกเขาได้อย่างแน่นอน (กุรอาน 22.39)
“คนเหล่านี้คือผู้ถูกขับไล่ออกจากบ้านเรือนอย่างไม่เป็นธรรมเพียงเพราะเขากล่าวว่า “อัลลอฮฺคือพระเจ้าของเรา” ถ้าหากอัลลอฮฺไม่ทรงกำราบคนหมู่หนึ่งโดยอาศัยคนอีกหมู่หนึ่ง สถานที่บำเพ็ญภาวนา โบสถ์ สุเหร่าและมัสญิดซึ่งเป็นสถานที่ที่พระนามของอัลลอฮฺถูกกล่าวรำลึกก็จะถูกทำลาย อัลลอฮฺจะทรงช่วยบรรดาผู้ที่ช่วยเหลือพระองค์” (กุรอาน 22.40)
“และจงต่อสู้ในหนทางของอัลลอฮฺกับบรรดาผู้ที่ต่อสู้สูเจ้า แต่จงอย่าละเมิดขอบเขต เพราะพระเจ้าไม่ทรงรักผู้ละเมิด” (กุรอาน 2.190)
“จงต่อสู้พวกเขาไม่ว่าสูเจ้าจะเผชิญหน้าพวกเขา ณ ที่ใดในการรบ และจงขับไล่พวกเขาออกไปจากที่ที่พวกเขาขับไล่สูเจ้าออกมา ถึงแม้ว่าการฆ่าจะเป็นสิ่งไม่ดี แต่การการกดขี่ข่มเหงนั้นเลวร้ายยิ่งกว่าการฆ่า จงอย่าต่อสู้กับพวกเขาใกล้มัสยิดอัลฮะรอม เว้นเสียแต่ว่าพวกเขาจะโจมตีสูเจ้าที่นั่น และถ้าพวกเขาโจมตีสูเจ้าก่อน(แม้แต่ในสถานที่ศักดิ์สิทธิ์เช่นนั้น) จงต่อสู้พวกเขา นี่เป็นการลงโทษที่พวกปฏิเสธพึงจะได้รับ (กุรอาน 2.191)
ที่กล่าวมาเป็นคำสั่งจากพระเจ้าซึ่งเป็นที่มาของกฎในการทำสงครามเพื่อให้นบีมุฮัมมัดและบรรดาสาวกของท่านปฏิบัติเมื่ออยู่ในสถานการณ์ดังกล่าว
หลังจากอพยพออกจากมักก๊ะฮฺไปยังยัษริบได้สองปี สิ่งที่นบีมุฮัมมัดคาดไว้ก็เกิดขึ้นเมื่อผู้นำชาวมักก๊ะฮฺนำกำลังคนของตนประมาณหนึ่งพันคนที่พร้อมด้วยอาวุธ เสบียงอาหารและการร้องรำทำเพลงฉลองชัยชนะเป็นการล่วงหน้าโดยมีจุดหมายที่เมืองยัษริบ
เมื่อรู้ข่าวการมาของกองทัพจากมักก๊ะฮฺ นบีมุฮัมมัดรวบรวมมุสลิมที่พร้อมรบได้ประมาณสามร้อยคนพร้อมอาวุธที่พอจะหาได้ในยามฉุกละหุก นบีมุฮัมมัดนำสาวกของท่านออกไปตั้งรับผู้รุกรานที่นอกตัวเมืองยัษริบ เมื่อทั้งสองฝ่ายเผชิญหน้ากัน นบีมุฮัมมัดได้ละหมาดเคารพสักการะพระเจ้าและวิงวอนต่อพระเจ้าว่า “หากพระองค์ไม่ทรงช่วยเหลือบ่าวผู้ศรัทธาในวันนี้ ต่อไปจะไม่เหลือผู้ใดสักการะพระองค์”
ก่อนการสู้รบเกิดขั้น นบีมุฮัมมัดได้ออกกฎในการทำสงครามให้สาวกของท่านปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด เช่น
ต้องเจตนาทำศึกเพื่อพระเจ้า ไม่ใช่เพื่อชำระแค้น
ห้ามฆ่าผู้หญิง เด็ก คนแก่ นักบวชและผู้ที่ไม่เกี่ยวข้องในการรบ
ห้ามทำลายต้นไม้ ห้ามฆ่าสัตว์ ห้ามใส่ยาพิษในบ่อน้ำ
ห้ามทำลายศพ
ปฏิบัติต่อเชลยศึกด้วยดี
เมื่อฝ่ายตรงข้ามเสนอสันติภาพ ต้องตอบรับ
ทรัพย์สินและอาวุธที่เก็บได้ในสนามรบต้องนำมามอบให้นบี
You must be logged in to post a comment Login