- อย่าไปอินPosted 2 days ago
- ปีดับคนดังPosted 2 days ago
- เรื่องยังไม่จบPosted 4 days ago
- ต้องช่วยผู้หญิงขึ้นจากขุมนรกPosted 5 days ago
- คนดีสยบทุกอย่างได้Posted 6 days ago
- จัดการได้ก็ทำเถอะPosted 1 week ago
- ชวนทำบุญครั้งสุดท้ายPosted 1 week ago
- อย่าไปซ้ำเติมPosted 2 weeks ago
- คงมีโอกาสดีได้นะPosted 2 weeks ago
- ช่วยสร้างบรรยากาศชื่นมื่นPosted 2 weeks ago
นิราศริยาด-มัสกัต: แดนตะวันออกกลาง
ผู้เขียน : ดร.โสภณ พรโชคชัย
(โลกวันนี้รายวัน ประจำวันที่ 12 ธ.ค. 66)
นี่เป็นครั้งแรกที่ผมได้ไปถึงซาอุดิอาระเบียที่เมืองหลวงของเขาคือกรุงริยาดเสียด้วย แถมพ่วงด้วยกรุงมัสกัต ประเทศโอมาน ซึ่งผมก็เพิ่งเคยไปพักในครั้งแรกของชีวิตนี่แหละครับ
ในระหว่างวันที่ 3-10 ธันวาคม 2566 ผมได้รับเชิญให้ไปเป็นวิทยากรในงานประชุม FIABCI Global Leadership Summit ณ กรุงริยาด ประเทศซาอุดิอาระเบีย โดยสมาคม FIABCI-Saudi Arabia เป็นเจ้าภาพ งานนี้เป็นหนึ่งในสองของงานประจำปีของ FIABCI หรือสหพันธ์อสังหาริมทรัพย์สากล ซึ่งมีในประเทศไทยด้วยคือ FIABCI-Thai ที่ผมเป็นนายกสมาคมอยู่ในขณะนี้ อีกงานหนึ่งของ FIABCI ก็คืองาน FIABCI World Real Estate Congress ซึ่งหมุนเวียนจัดกันทุกปี โดยในปี 2566 จัดขึ้นที่นครไมอามี สหรัฐอเมริกา ส่วนในปี 2567 จะจัดขึ้น ณ ประเทศสิงคโปร์ในระหว่างวันที่ 27-31 พฤษภาคม 2567
ที่ไปซาอุฯ ในครั้งนี้ ผมไปเป็นครั้งแรกในชีวิต (แก่ๆ) เพราะก่อนหน้านี้ไทยกับซาอุฯ กึ่งตัดสัมพันธ์ทางการทูตกัน เพราะคนไทยไปขโมยเพชรซาอุฯ พอจับตัวได้ตำรวจเอาเพชรไปคืน ผ่าเป็นเพชรปลอม เขาส่งเจ้าหน้าที่ทูตมาสืบหา ก็ดันถูกฆ่าเสียนี่ จนบัดนี้เพชรซาอุฯ ยังไม่รู้ไปอยู่ในมือใคร และนี่แหละทำให้ไทยเป็นประเทศที่ไม่น่าคบตั้งแต่นั้นมา แต่มาภายหลังสถานการณ์โลกแปรเปลี่ยน ไทยกับซาอุฯ เลยกลับมาคืนดีกัน
โรงแรมที่จัดงานราคาแสนแพง ตกคืนละ 30,000 บาท ซึ่งก็ถือว่า Over เกินความจำเป็น เพราะวันๆ หนึ่งได้แต่ประชุมและมีงานเลี้ยง กลับมาในห้องก็อยู่ได้ไม่ถึง 10 ชั่วโมงด้วยซ้ำไป ศรีภริยากับผมก็เลยจองโรงแรมข้างๆ ห่างกันแค่ 700 เมตร แต่ต้องเดิน 11 นาที (เนื่องจากต้องข้ามไฟแดงไกลหน่อย) สนนราคาก็เพียง 4,000 บาท (15% ของค่าห้องในโรงแรมจัดงาน) มีทั้งห้องครัวและชุดครัว ห้องนั่งเล่นและห้องนอน ห้องน้ำขนาดใหญ่ เรียกได้ว่าหากนอนโรงแรมจัดงาน 1 คืน เท่ากับนอนโรงแรมที่จองไว้ถึง 7 คืนเลยทีเดียว
ผมสองคนยังประหยัดกว่านั้นเข้าไปอีก คือพอเดินทางถึงกรุงริยาด ณ โรงแรมที่พัก ก็เป็นเวลาประมาณ 7 โมงเช้าของเช้าวันจันทร์ที่ 4 ธันวาคม พวกเราก็เลยฝากกระเป๋าไว้กับโรงแรม แล้วเดินเล่นอยู่แถวนั้น รับประทานอาหารเช้าแบบง่ายๆ เดินเล่นในห้างสรรพสินค้าขนาดยักษ์ เดินดูบ้านเมืองของเขา แล้วก็ค่อยมีรับประทานอาหารกลางวันที่ KFC ก่อนที่จะเข้าเช็คอินได้ โดยโรงแรมก็ใจดีให้เช็คอินได้ตั้งแต่เที่ยง เลยได้ประหยัดค่าที่นอนไปอีก 1 คืน
ผมในฐานะกรรมการ FIABCI หรือสหพันธ์อสังหาริมทรัพย์สากลและประธาน FIABCI ประจำประเทศไทย ก็เริ่มประชุมในบ่ายวันที่ 4 ธันวาคม จากนั้นก็มีงานเลี้ยง Welcome Dinner และเริ่มประชุมสัมมนากันจริงๆในวันประชุมกันในวันอังคารที่ 5 ธันวาคม ที่ผมก็ร่วมบรรยายด้วย และเสร็จสิ้นในวันพฤหัสบดีที่ 7 ธันวาคม มีงานเลี้ยงอำลากันจนดึกดื่น ซึ่งก็ดีเหมือนกัน เพราะผมซื้อตั๋วไปเที่ยวกรุงมัสกัต โดยมีกำหนดออกในเวลาตีสี่ของวันศุกร์ที่ 8 ธันวาคม ดังนั้นพวกเราจึงนั่งรถไปหลับต่อในเลาจน์ที่สนามบิน รอจนกว่าจะถึงเวลาเครื่องออก นี่ก็ประหยัดไปได้อีก 1 คืนเช่นกัน
พอถึงกรุงมัสกัตในเช้าวันที่ 8 ธันวาคม พวกเราก็ไปพักโรงแรมสุดหรูชื่อ Millennium Muscat โดยซื้อ Package แบบที่มี Club Lounge และเขาก็ให้สิทธิ์พิเศษเข้าพักได้ตั้งแต่ 09:00 น. และยังได้สิทธิ์ได้รับประทานทั้งอาหารกลางวัน อาหารเย็น และอาหารเช้าของอีกวันหนึ่งอีกต่างหาก เวลาส่วนใหญ่ของเราก็เลยอยู่ที่โรงแรมที่มีทั้งสระว่ายน้ำ (อุ่น) ซาวนา (Sauna ซึ่งจริงๆ ออกเสียงว่าซ่อหน่า) และอื่นๆ ค่าที่นอนที่นี่อาจจะแพงสักหน่อย แต่ก็ถือว่าคุ้มมาก
พวกเราได้ออกไปดูเมืองในช่วงบ่ายวันศุกร์ที่ 8 ธันวาคม ดูพระอาทิตย์ตกดิน เดินเล่นตามชายหาด เดินเล่นในตลาดมัทราอันลือชื่อ (แต่พวกเราไม่ได้ซื้ออะไรมาเลย เพราะมีแต่ของกระจุกกระจิก สาวๆ คงชอบแต่ศรีภริยากับผมรู้สึกว่าเป็นเปลืองที่เก็บในบ้าน เลยแค่มองชื่นชมก็พอ จากนั้นตอนค่ำๆ ก็กลับมานอนพักผ่อนในห้อง มาอาบน้ำในอ่างอาบน้ำอุ่นให้คลายเมื่อยขบจากการเดิน ได้ใช้ห้องจนสุดคุ้ม
พอวันรุ่งขึ้น (วันเสาร์ที่ 9 ธันวาคม) พวกเราก็ออกไปเดินเล่น และดื่มกาแฟสักคนละแก้ว แล้วตอนประมาณ 09:00 น. ค่อยมารับประทานอาหารเช้ากันอย่างจริงจัง จะได้ไม่ต้องทานอาหารเที่ยง และพอเที่ยงก็เช็คเอาท์ ซึ่งอันที่จริงโรงแรมก็ให้มี late check out ได้ถึงบ่ายสามโน่นแน่ แต่พวกเราคิดว่าแค่ฝากของไว้กับโรงแรมแล้วออกไปตระเวนเล่นในกรุงมัสกัตน่าจะดีกว่า พอดีที่พักอยู่ในย่านใหม่ของกรุงมัสกัต พวกเราอยากไปเที่ยวย่านเก่ามากกว่า และพอดีว่าผมพบโฆษณาเมืองใหม่ Sustainable City ก็เลยอยากไปดู
ผมไม่เรียกแท็กซี่ที่โรงแรม เพราะเขามักจะคิดแพงกว่าปกติ (มีมิเตอร์ แต่ไม่ใช้มิเตอร์) ผมเดินไปศูนย์การค้าที่อยู่ติดกัน มีแท็กซี่เข้ามาตลอด มีแท็กซี่คันหนึ่งที่ผมขอให้ใช้มิเตอร์ แต่เขาไม่ยอม ก็เลยต่อรองว่าให้พาไปดู Sustainable City และแหล่งท่องเที่ยวอีกแห่ง เขาบอกราคามา 50 เรียลโอมาน หรือ 5,000 บาท ผมคำนวณตามระยะทางจากแท็กซี่เมื่อวานแล้ว จีงต่อราคาเหลือ 15 เรียลโอมาน (1,500 บาท) ปรากฏว่าเขาก็ยอม ก็เลยได้ไปด้วยกัน และเขาก็นิสัยดี พาไปดูเพิ่มเติมอีกหน่อย ผมเลยให้ไป 20 เรียลโอมาน (2,000 บาท) ตอนหลังเขายังไม่ไปไหน ก็เลยให้เขาพาไปชายหาดแห่งหนึ่ง แล้วแวะที่โรงแรมเอากระเป๋าเดินทาง และสุดท้ายไปส่งสนามบิน โดยให้เงินเขาอีก 20 เรียลโอมาน เขาก็ดีใจใหญ่เลย
พอถึงสนามบิน ก็เช็คอิน แล้วก็เข้าเลาจน์พักผ่อนราว 3 ชั่วโมง เครื่องบินออกเวลา 21:00 น และเดินทางมาถึงสนามบินสุวรรณภูมิเวลา 06:45 น. ของวันอาทิตย์ที่ 10 ธันวาคม โชคดีที่เป็นวันอาทิตย์ รถราเลยไม่ติด และโดยที่ผมเป็นสมาชิกบัตรเครดิตก็เลยมีรถมารับกลับบ้าน (ตอนขาไปก็มีรถไปส่ง) ทั้งที่ปกติจะนั่งแท็กซี่กลับบ้านเอง โดยมักไปเรียกตรงที่ต้องเสียเงิน 50 บาท ถือว่าเป็นการอุดหนุนแท็กซี่ไทย
ปัจจัยหนึ่งที่ผมสามารถ “ระหกระเหิน” แบบนี้ได้ ก็เพราะผมมีบัตรเลาจน์ ชื่อ Priority Pass ซึ่งมีตามสนามบินต่างๆ ทั่วโลก รวมทั้งบัตรของ CitiBank ทำให้เวลาไปไหนมาไหน จะมีเลาจน์รองรับ สนามบินบางแห่งยังมีเลาจน์ตอนขาลงด้วย คือพอลงจากสนามบินก่อนจะเข้าเมืองก็สามารถเข้าเลาจน์เพื่อพักผ่อน ทานอาหารรวมทั้งอาบน้ำอาบท่าอีกด้วย อย่างตอนขากลับจากมัสกัต ในเลาจน์ก็มีห้องอาบน้ำอย่างดีให้อาบได้ฟรีๆ อีกด้วย
นี่แหละครับนิราศตะวันออกกลางของผม และที่ผมทำแบบนี้ ส่วนหนึ่งก็เป็นเพราะร่างกายยังแข็งแรงกัน ถ้าเป็นคนแก่ที่ไม่ค่อยแข็งแรง อาจทำไม่ได้และอาจเป็นอันตรายก็ได้ พึงสังวร
You must be logged in to post a comment Login