- ปีดับคนดังPosted 5 hours ago
- เรื่องยังไม่จบPosted 1 day ago
- ต้องช่วยผู้หญิงขึ้นจากขุมนรกPosted 3 days ago
- คนดีสยบทุกอย่างได้Posted 3 days ago
- จัดการได้ก็ทำเถอะPosted 7 days ago
- ชวนทำบุญครั้งสุดท้ายPosted 1 week ago
- อย่าไปซ้ำเติมPosted 1 week ago
- คงมีโอกาสดีได้นะPosted 1 week ago
- ช่วยสร้างบรรยากาศชื่นมื่นPosted 1 week ago
- หนีกรรมไม่พ้นPosted 2 weeks ago
วิกฤตเปินโอกาสให้รู้ใจคน
คอลัมน์ : สันติธรรม
ผู้เขียน : บรรจง บินกาซัน
(โลกวันนี้รายวัน ประจำวันที่ 15 ธ.ค. 66 )
แม้นบีมุฮัมมัดและมุสลิมอพยพจากมักก๊ะฮฺไปยังเมืองยัษริบเพื่อหลีกเลี่ยงการกดขี่ข่มเหงแล้วก็ตาม แต่ความอาฆาตแค้นของชาวมักก๊ะฮฺยังไม่จางหาย หลังจากนั้นประมาณสองปี หัวหน้าชาวมักก๊ะฮฺได้รวมไพร่พลประมาณหนึ่งพันคนมุ่งหน้ามายังเมืองยัษริบ เมื่อนบีมุฮัมมัดรู้ข่าว ท่านจึงระดมกำลังคนได้ประมาณสามร้อยคนและอาวุธเท่าที่จะหาได้ออกไปตั้งรับผู้บุกรุกนอกเมืองตรงบริเวณที่เรียกว่า “บะดัรฺ”
เมื่อสองฝ่ายเผชิญหน้ากัน ตามธรรมเนียมการทำสงครามของชาวอาหรับ ทั้งสองฝ่ายจะส่งนักรบฝีมือดีออกไปต่อสู้กันตัวต่อตัวเพื่อให้ไพร่พลที่ติตดามมาตัดสินใจว่าจะทำสงครามหรือไม่เมื่อเห็นผลการต่อสู้ของนักรบฝีมือดีแล้ว
ทั้งสองฝ่ายต่างส่งนักรบฝีมือดีออกไปต่อสู้กันแบบตัวต่อตัวฝ่ายละสามคน ผลลงเอยด้วยนักรบฝีมือดีฝ่ายมักก๊ะฮฺทั้งสามคนถูกปลิดชีวิต ส่วนฝ่ายมุสลิมบาดเจ็บหนึ่งคน
แม้จะเสียนักรบคนสำคัญไปสามคน แต่ด้วยความอาฆาตและเห็นว่าฝ่ายตัวเองมีไพร่พลมากกว่า ฝ่ายมักก๊ะฮฺได้ตัดสินใจทำสงครามเพื่อกำจัดนบีมุฮัมมัดและมุสลิมมิให้เติบโตขึ้นมาท้าทายในอนาคต นี่เป็นสงครามครั้งแรกที่มุสลิมเผชิญและจบลงด้วยมุสลิมได้รับชัยชนะแม้กำลังคนและอาวุธจะน้อยกว่า
ชัยชนะในการรบครั้งแรกทำให้มุสลิมเกิดความมั่นใจและศรัทธาในพระเจ้ามากขึ้น ขณะเดียวกัน มันกลับสร้างความอาฆาตเคียดแค้นในหมู่ชาวมักก๊ะฮฺมากขึ้นและหาทางที่จะชำระแค้นให้แก่ผู้ที่ล้มตายในสงครามที่ทุ่งบะดัรฺ
ประมาณหนึ่งปีหลังสงครามครั้งแรก หัวหน้าชาวมักก๊ะฮฺได้นำกองทัพที่ประกอบด้วยนักรบประมาณสามพันคนพร้อมอาวุธอย่างดีและเสบียงครบครัน เมื่อนบีมุฮัมมัดรู้ข่าว ท่านได้เรียกมุสลิมทั้งคนหนุ่มและผู้อาวุโสประชุมเพื่อวางแผนรับมือศัตรูที่กำลังบุกมารุกราน
ในการประชุม อับดุลลอฮฺ บินอุบัย ผู้ที่ก่อนหน้านี้สูญเสียโอกาสการเป็นผู้นำเพราะการมาของนบีมุฮัมมัดได้เสนอให้ตั้งรับข้าศึกในเมือง แต่คนหนุ่มส่วนใหญ่เสนอให้นบีมุฮัมมัดออกไปตั้งรับนอกเมือง ความจริงแล้ว นบีมุฮัมมัดคิดจะตั้งรับข้าศึกในเมือง แต่เมื่อเสียงส่วนใหญ่ของคนหนุ่มต้องการให้ตั้งรับข้าศึกนอกเมือง ท่านจึงยอมรับ หลังจากนั้น ท่านได้สั่งให้ทุกคนเตรียมตัวออกศึกหลังจากระดมกำลังนักรบได้ประมาณหนึ่งพันคน ในจำนวนนี้มีกำลังคนของอับดุลลอฮฺ บินอุบัยอยู่ประมาณสามร้อยคน
เมื่อนบีมุฮัมมัดสวมเสื้อเกราะเพื่อนำทัพออกไปนอกเมือง หัวหน้าคนหนุ่มได้มาหาท่านนบีและพูดกับท่านว่าหากท่านต้องการเปลี่ยนใจมาตั้งรับในเมือง พวกเขาก็พร้อมที่จะทำตาม แต่นบีมุฮัมมัดกล่าวตอบว่า “เมื่อฉันสวมเสื้อเกราะแล้ว จะไม่เปลี่ยนอะไรทั้งสิ้น” หลังจากนั้น ท่านก็นำทัพออกไปนอกเมือง
ระหว่างทาง เมื่ออับดุลลอฮฺ บินอุบัยรู้ถึงจำนวนไพร่พลของมักก๊ะฮฺ เขาจึงสบโอกาสนำคนของเขาจำนวนสามร้อยคนทิ้งกองทัพของท่านนบีโดยอ้างว่านบีมุฮัมมัดไม่ทำตามคำแนะนำของเขา แต่ในความเป็นจริงแล้ว เขาต้องการให้นบีมุฮัมมัดและมุสลิมถูกสังหารในสงครามครั้งนี้เพื่อที่เขาจะได้ขึ้นมาเป็นผู้นำของชาวเมืองยัษริบตามที่เขาเคยหวังมาก่อน
สงครามครั้งนี้เกิดขึ้นที่บริเวณภูเขาอุฮุด จึงถูกเรียกว่าสงครามอุฮุด การรบเริ่มต้นด้วยการปะทะกันแบบดุเดือดและฝ่ายรุกรานเป็นฝ่ายล่าถอย แต่เพราะสาวกกลุ่มหนึ่งที่เป็นพลธนูไม่เชื่อฟังคำสั่งของนบีมุฮัมมัด ทหารม้าของฝ่ายรุกรานจึงได้โอกาสเข้ามาตีตลบหลังมุสลิมที่กำลังเป็นฝ่ายรุกไล่ให้ต้องถูกบีบทั้งด้านหน้าและด้านหลัง ชัยชนะที่กำลังอยู่ในมือจึงกลายเป็นความพ่ายแพ้
สงครามอุฮุดทำให้สาวกของนบีมุฮัมมัดพลีชีพไปในสนามรบเจ็ดสิบคนรวมทั้งฮัมซะฮฺนับรบฝีมือดีและเป็นลุงอีกคนหนึ่งของนบีมุฮัมมัด ศพของฮัมซะฮฺถูกผ่าท้องและถูกควักตับออกมากินสดๆโดยฮินด์ผู้เคียดแค้นฮัมซะฮฺที่สังหารพี่ชายของนางในสงครามบะดัรฺ
ในสงครามอุฮุด นบีมุฮัมมัดถูกฟันที่ศีรษะ แต่หมวกเหล็กได้ป้องกันไว้ ฟันของท่านหักไปสองซี่ แต่สาวกได้เข้ามาป้องกันท่านไว้และพาท่านหลบหนีไปได้
หลังสงคราม ระหว่างเดินทางกลับเมืองมะดีนะฮฺ ท่านบอกว่าหลังจากนี้จะมีการญิฮาดที่ยิ่งใหญ่กว่านี้อีก สาวกจึงตกใจ ท่านจึงบอกว่า “การญิฮาดที่ยิ่งใหญ่คือการญิฮาดกับจิตใจของตัวเอง”
You must be logged in to post a comment Login