- อย่าไปอินPosted 2 days ago
- ปีดับคนดังPosted 3 days ago
- เรื่องยังไม่จบPosted 4 days ago
- ต้องช่วยผู้หญิงขึ้นจากขุมนรกPosted 5 days ago
- คนดีสยบทุกอย่างได้Posted 6 days ago
- จัดการได้ก็ทำเถอะPosted 1 week ago
- ชวนทำบุญครั้งสุดท้ายPosted 1 week ago
- อย่าไปซ้ำเติมPosted 2 weeks ago
- คงมีโอกาสดีได้นะPosted 2 weeks ago
- ช่วยสร้างบรรยากาศชื่นมื่นPosted 2 weeks ago
สนธิสัญญาสันติภาพครั้งแรกในอิสลาม
คอลัมน์ : สันติธรรม
ผู้เขียน : บรรจง บินกาซัน
(โลกวันนี้รายวัน ประจำวันที่ 29 ธ.ค. 66 )
ระหว่างที่อยู่ในเมืองยัษริบ นบีมุฮัมมัดต้องทำสงครามหลายครั้ง สงครามเหล่านี้เกิดขึ้นจากการรุกรานภายนอกและจากการสมรู้ร่วมคิดของชนเผ่าชาวยิวและกลุ่มคนตลบตะแลงภายในที่คอยคิดกำจัดท่านและทำลายอิสลาม
หลังจากอพยพไปยังยัษริบได้ประมาณเจ็ดปี(ประมาณเดือนมกราคม ค.ศ.628) นบีมุฮัมมัดมีความประสงค์ที่จะกลับไปยังมักก๊ะฮฺเพื่อเวียนรอบก๊ะบ๊ะฮฺ ในตอนนั้น พิธีฮัจญ์อย่างที่มุสลิมปฏิบัติกันในปัจจุบันยังไม่เกิดขึ้น บรรดาสาวกของท่านที่อพยพมาก็มีความประสงค์เช่นกัน ดังนั้น นบีมุฮัมมัดกับบรรดาสาวกจำนวนหนึ่งจึงเดินทางออกจากเมืองยัษริบมุ่งหน้าสู่เมืองมักก๊ะฮฺ
เนื่องจากพิธีเวียนรอบก๊ะอฺบ๊ะฮฺเป็นพิธีกรรมทางศาสนา นบีมุฮัมมัดและบรรดาสาวกจึงไม่นำอาวุธเช่นหอก ดาบหรือธนูติดตัวมาด้วย มีแต่เพียงมีดที่จำเป็นสำหรับการใช้ในชีวิตประจำวัน ทั้งนี้เพื่อมิให้ชาวเมืองมักก๊ะฮฺรู้สึกระแวงว่าจะเป็นอันตราย
อย่างไรก็ตาม หัวหน้าชาวเมืองมักก๊ะฮฺรู้สึกไม่สบายใจที่รู้ถึงการมาของนบีมุฮัมมัดและสาวกของท่านซึ่งครั้งหนึ่งพวกตนเคยคิดร้ายและขับไล่ ขณะเดียวกัน พวกเขารู้สึกอัดอัดที่ขัดขวางนบีมุฮัมมัดและสาวกมิให้เข้ามาเวียนรอบก๊ะฮฺบ๊ะฮฺได้เพราะประเพณีอาหรับห้ามขัดขวางคนมาเวียนรอบก๊ะอฺบ๊ะฮฺ แต่เหตุผลหลักของความอึดอัดก็คือหากพวกเขาปล่อยให้นบีมุฮัมมัดและสาวกเข้ามา พวกเขาเกรงว่าเผ่าอาหรับต่างๆจะมองว่าหัวหน้าชาวมักก๊ะฮฺยอมรับความเข้มแข็งของมุสลิมและจะเทใจไปฝักใฝ่มุฮัมมัด
ด้วยความรู้สึกเช่นนี้ หัวหน้าชาวมักก๊ะฮฺจึงส่งคนไปสะกัดขัดขวางนบีมุฮัมมัดซึ่งในตอนนั้นตั้งค่ายพักอยู่นอกเมืองมักก๊ะฮฺตรงบริเวณที่เรียกว่าฮุดัยบียะฮฺ สาวกหลายคนไม่พอใจที่พวกตนถูกขัดขวาง แต่หลังจากเจรจากันสักพักหนึ่ง ทั้งสองฝ่ายได้ลงนามทำ “สนธิสัญญาฮุดัยบียะฮฺ” ซึ่งคัมภีร์กุรอานเรียกว่าเป็นสัญญาณแห่งชัยชนะและนบีมุฮัมมัดพอใจ ข้อตกลงของสนธิสัญญานี้สรุปได้ว่า
- สองฝ่ายจะไม่สู้รับกันเป็นเวลาสิบปี
- มุสลิมต้องส่งตัวมุสลิมใหม่ที่ไปจากมักก๊ะฮฺกลับมายังมะดีนะฮฺ
- ชาวกุเรชจะไม่ส่งมุสลิมที่กลับมายังมักก๊ะฮฺคืนกลับไป
- เผ่าอาหรับทั้งหมดมีอิสระที่จะเป็นพันธมิตรกับฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดก็ได้
- มุสลิมจะไม่เข้าไปเวียนรอบก๊ะอฺบ๊ะฮฺในปีนี้ แต่จะมาในปีหน้าและอยู่ในมักก๊ะฮฺไม่เกินสามวัน
- เมื่อมุสลิมมาเวียนรอบก๊ะอฺบ๊ะฮฺ ผู้ปฏิเสธอิสลามจะออกไปนอกเมือง
ข้อตกลงตามสนธิสัญญานี้เป็นที่พอใจสำหรับหัวหน้าชาวมักก๊ะฮฺและนบีมุฮัมมัดถึงแม้บรรดาสาวกจะไม่พอใจเพราะรู้สึกเสียเปรียบ ฝ่ายมักก๊ะฮฺพอใจที่ตัวเองขัดขวางนบีมุฮัมมัดได้ ส่วนนบีมุฮัมมัดพอใจที่ได้สันติภาพเพราะท่านปรารถนาสิ่งนี้มานาน
ในตอนที่ลงนามในสัญญาแล้ว มีชาวเมืองมักก๊ะฮฺที่ศรัทธาในอิสลามมาพบนบีมุฮัมมัดและขอติดตามไปด้วย แต่นบีมุฮัมมัดได้ให้สัญญาไปแล้ว จึงไม่สามารถผิดสัญญาได้ เมื่อคนเหล่านี้ไปยังยัษริบไม่ได้และไม่พอใจที่จะอยู่ในมักก๊ะฮฺหรืออยู่ในมักก๊ะฮฺไม่ได้ พวกเขาจึงไปรวมตัวกันนอกเมืองมักก๊ะฮฺบนเส้นทางที่กองคาราวานของชาวมักก๊ะฮฺเดินทางไปค้าขายยังซีเรียซึ่งทำให้กองคาราวานของชาวมักก๊ะฮฺรู้สึกไม่ปลอดภัย
ส่วนนบีมุฮัมมัด เมื่อกลับไปยังยัษริบแล้ว ท่านได้ใช้ประโยชน์จากช่วงเวลาสงบศึกตามสนธิสัญญาโดยการให้คนนำสาส์นเชิญชวนอิสลามไปยังชนเผ่าอาหรับต่างๆตลอดจนผู้ปกครองอาณาจักรข้างเคียงคาบสมุทรอาหรับ เช่น เฮราคลีอุสผู้ปกครองอาณาจักรไบแซนติน กษัตริย์คุสโรแห่งอาณาจักรเปอร์เซียและมุเกากิสผู้ปกครองแห่งอียิปต์
สันติภาพจึงมีส่วนสำคัญที่ทำให้อิสลามซึ่งเกิดขึ้นในเมืองมักก๊ะฮฺและลงหลักปักฐานในเมืองยัษริบ(หรือมะดีนะฮฺ)แผ่ขยายออกไปนอกคาบสมุทรอาหรับเป็นครั้งแรก
You must be logged in to post a comment Login