- อย่าไปอินPosted 2 days ago
- ปีดับคนดังPosted 2 days ago
- เรื่องยังไม่จบPosted 4 days ago
- ต้องช่วยผู้หญิงขึ้นจากขุมนรกPosted 5 days ago
- คนดีสยบทุกอย่างได้Posted 5 days ago
- จัดการได้ก็ทำเถอะPosted 1 week ago
- ชวนทำบุญครั้งสุดท้ายPosted 1 week ago
- อย่าไปซ้ำเติมPosted 1 week ago
- คงมีโอกาสดีได้นะPosted 2 weeks ago
- ช่วยสร้างบรรยากาศชื่นมื่นPosted 2 weeks ago
นิราศปีใหม่ จีน-เวียดนาม 67
คอลัมน์ :โลกอสังหาฯ
ผู้เขียน : ดร.โสภณ พรโชคชัย
(โลกวันนี้รายวัน ประจำวันที่ 10 ม.ค. 67)
ปีใหม่ 2567 ผมกับศรีภริยาวางแผนไปเที่ยวจีน แต่พอดีมีคนเชิญไปบรรยายที่เวียดนาม เลยควบ 2 ประเทศซะเลย
ตอนแรกภริยาผมวางแผนจะไปอู่ฮัน-แหล่งโควิด กะจะไปตะลอนเที่ยวเองโดยไม่ง้อทัวร์ เพระทัวร์มักพาไปตะเวนเที่ยววัด-ไหว้เจ้า ซึ่งคงเหมาะกับผู้สูงวัย แต่พวกผมแม้แก่แต่ใจยังหนุ่ม-สาว เลยอยากไปเที่ยวชมอสังหาริมทรัพย์มากกว่า พวกเราอยากไปนั่งรถไฟความเร็วสูง (อันลือชื่อของจีน) ไปตามเมืองต่างๆ แบบที่เคยโดดขึ้นลงรถไฟไปทั่วยุโรป
พอดีสมาคมอสังหาริมทรัพย์เวียดนามจัดงาน Vietnam Investment Forum เชิญผมไปบรรยาย พวกเราเลยเปลี่ยนแผน เที่ยวจีนตอนใต้ ตั้งแต่กุ้ยหลิน ลงมาหนานหนิงจนจรดชายแดนเวียดนาม จะได้ข้ามแดนจากจีนมาเวียดนาม โดยไม่ต้องกลับไทยแล้วบินไปเวียดนามอีกรอบ ทำให้ประหยัดเวลาและได้เที่ยวเพิ่มอีกหน่อย
แต่การตระเวนแบบนี้หลีกเลี่ยงการซื้อทัวร์ไม่ได้ ผมก็เลยไปร่วมกับทัวร์ตั้งแต่วันที่ 30 ธันวาคม 2566 ตอนค่ำ (ตามไป) แล้วแยกจากทัวร์ในวันที่ 3 มกราคม 2567 เพื่อเข้าเวียดนาม ทั้งนี้ตอนไปเสียเวลานิดหน่อย เพราะต้องนั่งเครื่องไปลงเซียะเหมิน แล้วค่อยรอต่อเครื่องย้อนไปกุ้ยหลินอีกที ผมดีใจที่ได้ออกมาถ่ายรูปที่เซี่ยะเหมิน ซึ่งมีมหาวิทยาลัยใหญ่ที่นี่ ผมเคยมาบรรยายให้นักศึกษาปริญญาเอกฟังด้วย
ในเมืองจีนก็เห็นสิ่งที่น่าสนใจมากมาย แต่ผมประทับใจระบบอินเตอร์เน็ตที่นี่เพราะเร็วแรง แม้ในพื้นที่ป่าเขา ท้องไร่ท้องนาประเทศจีนพัฒนาไวมาก ระบบทางด่วนก็ไม่มีคนเก็บเงิน เป็นระบบอัตโนมัติหมด ผมจำได้ว่าตอนรับทุนสหประชาชาติไปเรียนต่อที่มหาวิทยาลัยลูแวง เบลเยียม เพื่อนร่วมชั้นจากจีนบอกเด็กจีนจบปริญญาตรี ได้เงินเดือนเพียงเดือนละ 400 บาท ในขณะที่ไทยได้ 2,000 บาทในขณะนั้น ตอนนี้เด็กไทยได้ 15,000 บาท แต่เด็กจีนในปักกิ่งคงได้มากกว่าเกินเท่าตัว จีนเจริญจนคนเวียดนามหลบหนีเข้าเมืองไปทำงานในจีนเป็นจำนวนมาก
ที่ชายแดนจีน-เวียดนามที่เป็นจุด highlight มีน้ำตกเต๋อเทียนอยู่ระหว่าง 2 ประเทศคล้ายน้ำตกไนแองการาที่อยู่ระหว่างแคนาดากับสหรัฐอเมริกา จีนพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวได้ดีเยี่ยม ขึ้นเขาสูง ก็มีทางเลื่อนให้นั่งขึ้นไป ไม่ต้องเดินมาก เวลาลงเขา ก็มีสไลเดอร์ให้นั่งลงมา มีหลังคาตลอด ไม่ต้องกลัวแดดฝน ผู้สูงวัยถือไม้เท้าก็ยังขึ้นได้สบาย ไม่เหมือนภูกระดึงไทย ที่ถูกพวก NGOs ต้านไม่ให้สร้างกระเช้า และทางราชการก็ไม่กล้าลุย ทั้งที่ชาวภูกระดึงเกินร้อยละ 90 ต้องการให้สร้าง
หลังอาหารเที่ยงที่น้ำตกเต๋อเทียน ผมก็ข้ามชายแดนมาเวียดนาม แต่ก็ใช่จะง่าย ที่น้ำตกมีด่าน แต่ให้ข้ามไปมาเฉพาะคนจีนและเวียดนามเท่านั้น ห้ามคนชาติอื่นข้าม ผมเลยต้องแท็กซี่จากย่านใกล้น้ำตกไปส่งที่ด่านห่างไปทางด้านใต้ราว 200 กิโลเมตรในราคา 3,250 บาท (แพงเหมือนกัน แต่ช่วยไม่ได้) แล้วค่อยข้ามมาฝั่งเวียดนาม พอข้ามมาได้ ปรากฏว่ามีรถแวน 7 ที่นั่งมาส่งถึงกรุงฮานอย ใช้เวลาอีกเกือบ 4 ชั่วโมง แต่สนนราคาถูกเพียงคนละ 450 บาท พวกเราเลยได้นอนฮานอย 3 คืนคือ 3-5 มกราคม 2567
ผมได้บรรยายในวันที่ 5 มกราคม โดยช่วงเช้า บรรยายถึงแนวทางการแก้ปัญหาตลาดอสังหาริมทรัพย์ซบเซา เขาเอาบทความและพาวเวอร์พอยท์ของผมไปแปลเป็นภาษาเวียดนามเพราะคนที่นี่ไม่ค่อยได้ใช้ภาษาอังกฤษ ส่วนภาคบ่าย บรรยายเรื่องการให้ต่างชาติมาซื้ออสังหาริมทรัพย์ โดยผมเสนอว่า มันไม่ช่วยแก้ปัญหาชาติ แต่ช่วยนักพัฒนาที่ดินมากกว่า แถมสร้างปัญหาสารพัดจากพวกจีนเทา และพวกเทาๆ จากชาติอื่นๆ ปรากฏว่าได้รับความยินดีจากที่ประชุม
จนสุดท้ายในเช้าวันที่ 6 มกราคม จึงได้รัเชิญไปร่วมทานอาหารเช้ากับนักพัฒนาที่ดินรายใหญ่ชาวเวียดนาม พร้อมทั้งผู้นำอสังหาริมทรัพย์จากอินเดียและเกาหลีใต้ มาร่วมแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกัน ถือเป็นการ “ผูกเสี่ยว” (สานสัมพันธ์) กันให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น จะได้ร่วมกันทำกิจกรรมกันในอนาคต
ตกลงตลอดช่วง 8 วันที่ไปจีนและเวียดนาม ก็ได้ทั้งความสนุกสนาน ความรู้และมิตรภาพ เพื่อการทำธุรกิจที่ยั่งยืนในอนาคต
You must be logged in to post a comment Login