วันพุธที่ 27 พฤศจิกายน พ.ศ. 2567

สสส. ลงพื้นที่จ.เชียงใหม่ สร้างกลไกจัดการความปลอดภัยทางถนน

On January 22, 2024

เมื่อวันที่ 22 ม.ค. 2567  สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ลงพื้นที่แลกเปลี่ยนเรียนรู้ของคณะกรรมการบริหารแผนคณะที่ 1งานบูรณาการความปลอดภัยทางถนน ณ ศูนย์พัฒนาเด็กเล็กตำบลสุเทพ อ.เมือง จ.เชียงใหม่ และศูนย์ปฏิบัติการจราจรตำรวจภูธร จ.เชียงใหม่

นพ.สุรเชษฐ์ สถิตนิรามัย รองประธานกรรมการกองทุน สสส. คนที่ 2 และประธานกรรมการบริหารแผน คณะที่ 1 สสส. กล่าวว่า สสส.สนับสนุนภาคีเครือข่ายทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคประชาสังคม ร่วมขับเคลื่อน ขยาย ยกระดับการทำงานจากประสบการณ์ของพื้นที่ต้นแบบ สู่การแก้ไขปัญหาอุบัติเหตุ สร้างวัฒนธรรมการขับขี่ที่ปลอดภัยในระดับพื้นที่ สนับสนุนแผนงานสนับสนุนการป้องกันอุบัติเหตุจราจรระดับจังหวัด (สอจร.) บูรณาการป้องกันแก้ไขปัญหาอุบัติเหตุทางถนนในระดับจังหวัด และพื้นที่ ขับเคลื่อน ผลักดันเชิงนโยบาย สร้างมาตรการต่าง ๆ เช่น มาตรการการบังคับใช้กฎหมายด้วยการใช้ กล้อง CCTV ร่วมกับ AI ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการสวมหมวกนิรภัย ลดอัตราเสียชีวิตในกลุ่มผู้ขับขี่จักรยานยนต์ ขับเคลื่อนกลไกการจัดการความปลอดภัยทางถนนในระดับอำเภอ รวมถึงการขยายผลต้นแบบกลไกการทำงานของจังหวัด ที่บูรณาการลงถึงระดับอำเภอผ่านกลไก ศปถ. พัฒนา และขยายผลศูนย์พัฒนาเด็กเล็กต้นแบบปลูกฝังความปลอดภัยทางถนนตั้งแต่วัยเยาว์ และในปี 2567 เดินหน้ารณรงค์ส่งเสริมการสวมหมวกนิรภัย #Save สมอง…หมวกกันน็อก สมองไม่น็อก เพื่อช่วยกระตุ้นให้เกิดการสวมหมวกเพิ่มสูงขึ้น

“สสส.สนับสนุน ภาคีเครือข่ายนักวิชาการ และองค์ความรู้ทางด้านวิชาการ จนทำให้เกิดการขยายผล ศูนย์พัฒนาเด็กเล็กต้นแบบด้านความปลอดภัยทางถนน อย่างต่อเนื่อง ใน 4 ภูมิภาค 13 จังหวัดทั่วประเทศ เกิดตำบลขับขี่ปลอดภัย 21 ตำบล สถานศึกษาและศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก ศูนย์เรียนรู้ โรงเรียนครอบครัว รวมทั้งหมด 105 แห่ง ซึ่งศูนย์พัฒนาเด็กเล็กเทศบาลตำบลสุเทพ สามารถขับเคลื่อนสร้างวินัยจราจร และปลูกจิตสำนึกด้านความปลอดภัยให้แก่เด็กเล็ก และสร้างการมีส่วนร่วมขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นและชุมชนอย่างยั่งยืน” นพ.สุรเชษฐ์ กล่าว

นายพศิน อัคเดชธนโชติ นายกเทศมนตรีตำบลสุเทพ จ.เชียงใหม่ กล่าวว่า ศูนย์พัฒนาเด็กเล็กเทศบาลตำบลสุเทพ มีถนนตัดผ่านชุมชนแบ่งถนนระหว่างตำบลออกเป็นสองฝั่ง รวมถึงการขยายเมือง และสถานที่ท่องเที่ยว พบปัจจัยที่เกิดจุดเสี่ยง อาทิ ทางร่วมทางแยกและจุดอับสายตา ขับรถเร็ว ไม่สวมหมวกนิรภัย ไม่คาดเข็มขัดนิรภัย ไม่ปฏิบัติตามกฎจราจร ซ้อนท้าย 3-4 คน รวมถึงความหลากหลายของชาติพันธุ์ในพื้นที่ที่ทำให้ไม่ชินทาง ไม่เข้าใจภาษา/ป้ายจราจร สสส. เข้ามาสนับสนุน องค์ความรู้จากภาคีเครือข่ายนักวิชาการที่มีความเชี่ยวชาญเชื่อมประสาน สร้างกลไกการทำงาน หนุนเสริมกระบวนการการเรียนรู้ให้กับครู สามารถร่วมทำงานกับชุมชน องค์กรการปกครองส่วนท้องถิ่น สร้างกิจกรรมความปลอดภัยทางถนน เกิดต้นแบบด้านวินัยจราจร ส่งผ่านไปยัง ผู้ใหญ่ ผู้ปกครอง และคนในชุมชน จนทำให้เกิดวัฒนธรรมความปลอดภัยทางถนนอย่างเป็นรูปธรรม

“ทางเทศบาลได้ดำเนินแนวทาง 1. ทำข้อตกลงร่วมกับผู้ปกครอง ให้สวมหมวก/คาดเข็มขัดนิรภัย 100% หากไม่ปฏิบัติตามต้องเสียค่าปรับครั้งละ 20 บาทต่อคน/ครั้ง 2. ชุมชนสร้างแกนนำอาสาสมัครเฝ้าระวัง ร่วมกันจัดทำป้ายกำจัดจุดเสี่ยง เอาวัสดุเหลือใช้มารีไซเคิลทำเป็นป้ายบอกจุดเสี่ยงในชุมชน 3. เทศบาลจัดทำเนินชะลอความเร็ว ติดตั้งป้ายจราจร สัญญาณไฟกระพริบ ปิดจุดเสี่ยงอันตรายในชุมชน 4. จัดการเรียนการสอน มุ่งเน้นสร้างจิตสำนึกด้านความปลอดภัยในการใช้รถใช้ถนน เรียนรู้ภายในห้องเรียน และสถานการณ์จริง ให้เด็กสามารถนำไปใช้ในชีวิตประจำวัน” นายพศิน กล่าว

นพ.ธีรวุฒิ โกมุทบุตร ที่ปรึกษา สอจร.ภาคเหนือตอนบน จ.เชียงใหม่ กล่าวว่า ข้อมูลสถิติปี 2562 อัตราการบาดเจ็บ และเสียชีวิตกว่าครึ่งหนึ่งของกลุ่มผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์ใน จ.เชียงใหม่ มีจำนวนมากกว่า 200 คน ส่วนใหญ่เสียชีวิตในพื้นที่อำเภอเมือง และอำเภอใกล้เคียง มาจากสภาพแวดล้อม ความมืดทำให้เห็นเส้นทางไม่ชัดเจนในเวลากลางคืน ขับเร็วเกินกว่าหมายกำหนด ดื่มแล้วขับ อัตราการสวมหมวกนิรภัยมีเพียง10-30% จำเป็นต้องสร้างนวัตกรรม และเครื่องมือปรับเปลี่ยนลดพฤติกรรมเสี่ยง ลดอัตราการบาดเจ็บ และเสียชีวิตของกลุ่มผู้ใช้รถจักรยานยนต์ สอจร. ภาคเหนือตอนบน ใช้แนวคิดกล้อง CCTV อัจฉริยะ ตรวจจับผู้ขับขี่ที่ไม่สวมหมวกนิรภัย ใช้ Software โดยติดตั้ง AI โดยกล้องสามารถตรวจจับภาพได้ชัดเจนแม้ในเวลากลางคืน ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้น ภายใน 1 เดือน พบว่า ประชาชนในพื้นที่ใส่หมวกนิรภัยเพิ่มขึ้นมากกว่า 20% ทุกจุด ในพื้นที่ 5 อำเภอเสี่ยง ได้แก่ อ.เมือง อ.สันทราย อ.สารภี อ.หางดง อ.แม่ริม มีผู้สวมหมวกนิรภัยมากถึง 80% นอกจากนี้ได้สร้างการรับรู้ผ่านสื่อทุกรูปแบบ ทั้งสื่อสังคมออนไลน์ สื่อกลางแจ้ง หากไม่ใส่หมวกนิรภัยจะมีใบสั่งปรับถึงบ้าน

พ.ต.อ. ไพศาล นันตา รองผู้บังคับการตำรวจภูธร จ. เชียงใหม่ กล่าวว่า ตำรวจภูธร จ.เชียงใหม่ร่วมกับ สอจร. ดำเนินการเพิ่มมาตรการบังคับใช้กฎหมายที่มีประสิทธิภาพระดับจังหวัด เร่งพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อใช้ทดแทนปัจจัยเสี่ยง ควบคู่กับการวางแผนกำลังคนเพื่อสนับสนุนเทคโนโลยี พัฒนาระบบและศูนย์สารสนเทศเพื่อกำกับติดตามปัจจัยเสี่ยงทางถนน ขยายขีดความสามารถของการใช้เทคโนโลยี จัดเก็บข้อมูลปัจจัยเสี่ยง ใช้กล้องอัตโนมัติเพื่อบันทึกภาพผู้ไม่สวมหมวกนิรภัยด้วยซอฟต์แวร์เทคโนโลยี Al จากมูลนิธิเพื่อถนนที่ปลอดภัยกว่า (Safer Roads Foundation) หลังจากใช้กล้องอัตโนมัติ พบว่า ประชาชนเกรงกลัวการจับปรับ จึงเปลี่ยนพฤติกรรม เกิดความร่วมมือสวมหมวกนิรภัยเพิ่มขึ้นในหลายอำเภอ รวมถึงใช้โซเชียลมีเดียนำเสนอรายละเอียดเรื่องกฎหมาย และร่วมกับสื่อในพื้นที่ ทำให้ประชาชนเข้าถึงข้อมูลบังคับใช้กฎหมายมากขึ้น ประชาชนสวมหมวกนิรภัยเพิ่มมากขึ้น 20% และสวมหมวกนิรภัยมากกว่า 90% ในช่วงเทศกาลปีใหม่ของทุกจุดที่มีการติดตั้ง และประเด็นสำคัญที่สุดสามารถลดอัตราการเสียชีวิตจากอุบัติเหตุรถจักรยานยนต์ลดลงกว่า 50%


You must be logged in to post a comment Login