- ปีดับคนดังPosted 5 hours ago
- เรื่องยังไม่จบPosted 1 day ago
- ต้องช่วยผู้หญิงขึ้นจากขุมนรกPosted 3 days ago
- คนดีสยบทุกอย่างได้Posted 3 days ago
- จัดการได้ก็ทำเถอะPosted 7 days ago
- ชวนทำบุญครั้งสุดท้ายPosted 1 week ago
- อย่าไปซ้ำเติมPosted 1 week ago
- คงมีโอกาสดีได้นะPosted 1 week ago
- ช่วยสร้างบรรยากาศชื่นมื่นPosted 1 week ago
- หนีกรรมไม่พ้นPosted 2 weeks ago
ขี้ทับกันเป็นบาป…!
คอลัมน์ : สันติธรรม
ผู้เขียน : บรรจง บินกาซัน
(โลกวันนี้รายวัน ประจำวันที่ 8 มี.ค. 67)
สัจธรรมมีหนึ่งเดียวและเป็นสิ่งสากลในทุกที่ แต่ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา สัจธรรมได้ถูกความเชื่อและขนบประเพณีท้องถิ่นปกปิดจนคนมองไม่เห็นและยึดเอาสิ่งที่ปกปิดสัจธรรมเป็นสรณะ
ในสมัยเป็นนักศึกษาปีหนึ่ง มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ พ.ศ.2514 ผมมีโอกาสร่วมเดินทางไปทำกิจกรรมค่ายอาสาพัฒนากับสมาคมนิสิตนักศึกษาไทยมุสลิมที่หมู่บ้านเจ๊ะเด็ง ต.โละจูด อ.แว้ง จ.นราธิวาส ก่อนเข้าไปในพื้นที่ พวกเราชาวค่ายต้องเข้าฟังการบรรยาสรุปเกี่ยวกับผู้คนและวัฒนธรรมที่นั่น ผมจำได้แม่นว่าผู้บรรยายสรุปให้เราฟังคือท่านศุภโยค พาณิชวิทย์ ผู้ว่าราชการจังหวัดนราธิวาส คำพูดตอนหนึ่งซึ่งทำให้ผมสะดุดใจก็คือ “คนที่นี่เชื่อว่าขี้ทับกันเป็นบาป” แต่ผมก็ไม่คิดอะไร
หนึ่งในแผนงานค่ายอาสาตลอดเวลาสามสิบวันในเดือนเมษายนคือการสร้างอาคารเรียนขนาดสี่ห้องและสนามเด็กเล่น นอกจากนี้แล้ว ยังสร้างส้วมซึมสาธารณะอีกสามห้องที่พื้นเป็นคอนกรีต ผนังและหลังคาเป็นสังกะสี เช่นเดียวกับส้วมของชาวค่าย
ปีต่อมาในเดือนเดียวกัน ผมได้มีโอกาสกลับไปติดตามผลงานที่ได้ทำไว้ โรงเรียนและสนามเด็กเล่นข้างโรงเรียนถูกใช้ แต่ส้วมซึมที่เราสร้างไว้ยังใหม่เหมือนเดิม ไม่มีร่องรอยการใช้งานแต่อย่างใด ผมจึงเข้าใจคำพูดในคำบรรยายสรุปของท่านผู้ว่าฯก่อนลงพื้นที่ เมื่อถามคนที่นั่นว่าชาวบ้านถ่ายอุจจาระกันอย่างไร ผมได้คำตอบว่าชาวบ้านจะถือจอบไปในสวนหรือป่าเพื่อขุดหลุมและถ่ายอุจจาระลงไปในหลุม วันรุ่งขึ้นก็จะเปลี่ยนหลุมถ่ายอุจจาระใหม่
แต่ความเชื่อว่าขี้ทับกันเป็นบาปนี้มาจากไหน? ไม่ใช่คำสอนและความเชื่อของอิสลามอย่างแน่นอนแม้คนในท้องถิ่นที่นี่เป็นมุสลิมก็ตาม เพราะเมื่อพันปีก่อน ขณะที่อิสลามเป็นอารยธรรมรุ่งเรืองอยู่ในแผ่นดินสเปน ซีเรีย อิรักและตุรกี ห้องน้ำห้องส้วมสาธารณะเป็นสิ่งที่มีอยู่อย่างดาษดื่นเพราะอิสลามมีคำสอนว่าความสะอาดเป็นส่วนหนึ่งของความศรัทธา
หลังจบการศึกษาหลายปี ผมได้มีโอกาสไปยังเมืองเดลฮีซึ่งเป็นเมืองหลวงของอินเดีย ขณะนั่งรถไปตามถนน ผมเห็นชาวอินเดียนั่งยองๆเรียงรายถ่ายอุจจาระอยู่ริมถนนและหันหน้ามาทางถนนโดยไม่เคอะเขิน จึงทบทวนประสบการณ์ในตอนไปทำงานค่ายอาสาพัฒนาเมื่อสบกว่าปีก่อน
กลับมาบ้านได้สักพัก มีโอกาสได้ดูสารคดีที่ฝรั่งถ่ายทำในอินโดนีเซีย แต่จำไม่ได้ว่าที่ใด เห็นชาวอินโดนีเซียนั่งเรียงรายถ่ายอุจจาระลงในคลอง จึงศึกษาค้นคว้าและได้รู้ว่าความเชื่อเช่นนี้เป็นความเชื่อของชาวฮินดู
เมื่อศึกษาไปเรื่อยๆทำให้รู้ว่าศาสนาฮินดูเกิดในอินเดียและแพร่ขยายมายังหมู่เกาะอินโดนีเซียก่อนหน้าศาสนาพุทธ ศาสนาคริสต์และอิสลาม ศาสนาฮินดูมาลงหลักปักฐานเป็นอาณาจักรที่มีอาณาเขตกว้างขวางครอบคลุมถึงเขมร ลาว ไทยและมาเลเซีย ด้วยเหตุนี้ ขนบธรรมเนียม ประเพณี วัฒนธรรมและความเชื่อจึงตกทอดมายังผู้คนและฝังรากลึกมาจนถึงปัจจุบัน
เนื่องจากศาสนาฮินดูมีพิธีกรรมต่างๆมากมาย ชาวพุทธศาสนิกจึงซึมซับเราเอาพิธีกรรมต่างๆของศาสนาพราหมณ์-ฮินดูมาปฏิบัติ เมื่ออิสลามมายังอินโดนีเซียและกษัตริย์ผู้ปกครองอินโดนีเซียองค์หนึ่งเข้ารับอิสลาม ประชาชนจึงเข้ารับตามด้วย แต่เนื่องจากอิสลามห้ามเคารพกราบไหว้บูชารูปเคารพเด็ดขาดและมีการปฏิบัติศาสนกิจของตัวเองเป็นการเฉพาะที่ต้องใช้ภาษาอาหรับ ดังนั้น ภาษาอาหรับจึงเข้ามาแทนที่ภาษาของชาวฮินดู
อย่างไรก็ตาม ชาวมุสลิมอินโดนีเซียที่ยังสลัดพิธีกรรมในโอกาสต่างๆของชาวฮินดูไม่หลุด เช่น พิธีกรรมขึ้นบ้านใหม่ พิธีแต่งงาน การทำบุญให้คนตายก็ยังคงปฏิบัติกันอยู่ เพียงแต่เปลี่ยนภาษาในการทำพิธีมาเป็นภาษาอาหรับ
เรื่องขี้ทำให้ผมเข้าใจวัฒนธรรมของเพื่อนมนุษย์ได้เยอะ
You must be logged in to post a comment Login