- ปีดับคนดังPosted 15 mins ago
- เรื่องยังไม่จบPosted 1 day ago
- ต้องช่วยผู้หญิงขึ้นจากขุมนรกPosted 2 days ago
- คนดีสยบทุกอย่างได้Posted 3 days ago
- จัดการได้ก็ทำเถอะPosted 6 days ago
- ชวนทำบุญครั้งสุดท้ายPosted 7 days ago
- อย่าไปซ้ำเติมPosted 1 week ago
- คงมีโอกาสดีได้นะPosted 1 week ago
- ช่วยสร้างบรรยากาศชื่นมื่นPosted 1 week ago
- หนีกรรมไม่พ้นPosted 2 weeks ago
ศรัทธากับอาวุธ
คอลัมน์ : สันติธรรม
ผู้เขียน : บรรจง บินกาซัน
(โลกวันนี้รายวัน ประจำวันที่ 26 เม.ย. 67)
ในการทำสงครามหรือการต่อสู้ มีบ่อยครั้งที่ผู้มีกำลังน้อยกว่าสามารถเอาชนะผู้มีกำลังมากกว่าได้ ดังนั้น กำลังคนและอาวุธอย่างเดียวไม่ใช่ปัจจัยตัดสินชัยชนะ บางครั้ง จิตใจที่ยึดมั่นในอุดมการณ์หรือความศรัทธาบางอย่างก็พลิกรูปการณ์ที่ดูว่าพ่ายแพ้แน่ๆให้กลับมาเป็นผู้ชนะ
มิใช่เพราะความศรัทธาในพระเจ้าอย่างแน่วแน่หรือที่โมเสสถือไม้เท้าธรรมดาเผชิญหน้าฟาโรห์ผู้มีแสนยานุภาพทางทหารยิ่งใหญ่ที่สุดในเวลานั้น
มิใช่เพราะความศรัทธาในพระเจ้าหรือที่หนุ่มน้อยเดวิดสังหารโกไลแอธแม่ทัพร่างยักษ์ด้วยการใช้ก้อนหินธรรมดา
เมื่อนบีมุฮัมมัดและมุสลิมทิ้งทุกสิ่งทุกอย่างอพยพจากมักก๊ะฮฺมายังมะดีนะฮฺในสภาพของคนสิ้นเนื้อประดาตัว แต่หัวใจของทุกคนเปี่ยมไปด้วยความศรัทธาในพระเจ้าองค์เดียวและเชื่อมั่นว่าพระเจ้าจะประทานชัยชนะให้ในที่สุด ขณะเดียวกัน หัวหน้าชาวเมืองมักก๊ะฮฺรู้ดีว่าพลังแห่งความศรัทธาในพระเจ้าองค์เดียวจะทำให้พลังของมุสลิมเติบใหญ่ท้าทายอำนาจของพวกตนในวันข้างหน้า
ดังนั้น ชาวมักก๊ะฮฺจึงรวบรวมไพร่พลประมาณหนี่งพันคนพร้อมอาวุธครบครันมุ่งหน้าสู่เมืองมะดีนะฮฺเพื่อกำจัดนบีมุฮัมมัดและมุสลิมให้สิ้นซาก การยกทัพมาครั้งนั้น ชาวมักก๊ะฮฺมีความมั่นใจว่าตัวเองต้องได้ชัยชนะจนถึงกับร่ำสุราและร้องรำทำเพลงฉลองชัยล่วงหน้ามาตลอดทางประมาณสี่ร้อยกิโลเมตร
เมื่อนบีมุฮัมมัดรู้ข่าวการยกทัพมาของชาวมักก๊ะฮฺ ท่านระดมกำลังมุสลิมได้เพียง 313 คนในการตั้งรับการรุกราน คนของท่านมีอาวุธเท่าที่มีอยู่และไม่มีประสบการณ์ในการรบเพราะส่วนใหญ่เป็นคนจนหรือไม่ก็เป็นทาสมาก่อน แต่สิ่งเดียวที่ทุกคนมีเหมือนกันหมดคือความศรัทธาในพระเจ้าองค์เดียวและการเชื่อฟังนบีมุฮัมมัด และนี่เป็นครั้งแรกของมุสลิมที่พระเจ้าอนุมัติให้จับอาวุธต่อสู้ผู้รุกรานตั้งแต่นบีมุฮัมมัดอพยพออกมาจากมักก๊ะฮฺ
นบีมุฮัมมัดนำมุสลิมออกไปตั้งรับผู้รุกรานที่ทุ่งบะดัรฺซึ่งเป็นทุ่งกว้างแห่งหนึ่งนอกเมืองมะดีนะฮฺโดยจัดวางกำลังบนที่เนินเพื่อเห็นข้าศึกได้ง่าย คืนก่อนทำสงคราม ท่านละหมาดในเพิงที่พักเพื่อวิงวอนขอความช่วยเหลือต่อพระเจ้าและกล่าวว่าหากพระองค์ไม่ช่วยเหลือท่าน ต่อไปจะไม่มีใครหลงเหลือไว้เคารพสักการะพระองค์อีก
วันรุ่งขึ้น เมื่อทั้งสองฝ่ายเผชิญหน้ากัน ตามประเพณีการรบของชาวอาหรับ ฝ่ายหนึ่งจะท้าอีกฝ่ายหนึ่งให้ส่งตัวแทนที่เป็นนักรบฝีมือดีออกมาต่อสู้กันแบบตัวต่อตัวเพื่อเป็นการวัดใจและแสดงฝีมือให้นักรบของตนได้เห็นเป็นกำลังใจและข่มขวัญฝ่ายตรงข้าม
ฝ่ายผู้รุกรานเริ่มต้นร้องท้าฝ่ายมุสลิมก่อนและส่งนักรบฝีมือดีออกไปสามคน เมื่อเห็นเช่นนั้น นบีมุฮัมมัดจึงส่งคนของท่านออกไปรับคำท้าในการดวลแบบตัวต่อตัว ผลลงเอยด้วย นักรบฝีมือดีของฝ่ายรุกรานจากมักก๊ะฮฺถูกสังหารทั้งหมด ส่วนฝ่ายมุสลิมบาดเจ็บหนึ่งคน
อย่างไรก็ตาม ด้วยความเชื่อมั่นว่าตัวเองมีกำลังมากกว่า ฝ่ายรุกรานจากมักก๊ะฮฺได้เริ่มเปิดฉากสงครามเต็มรูปแบบ
ตามรูปการณ์แล้ว กองกำลังผู้รุกรานจากมักก๊ะฮฺที่มีกำลังคนมากกว่าสามต่อหนึ่งและมีอาวุธครบครันน่าเป็นฝ่ายชนะ แต่กำลังคนและอาวุธที่เหนือกว่ามิได้เป็นตัวชี้ขาดชัยชนะเสมอไป ในระหว่างการปะทะกัน คัมภีร์กุรอานได้กล่าวว่าพระเจ้าได้ส่งทูตสวรรค์มาช่วยโดยที่ฝ่ายมุสลิมไม่เห็น แต่ฝ่ายผู้รุกรานเห็นกองทัพของทูตสวรรค์บนก้อนเมฆในท้องฟ้า นักรบจากมักก๊ะฮฺจึงตกใจกลัวและหันหลังวิ่งหนีพ่ายแพ้กลับไป
สงครามบะดัรฺจบลงด้วยความพ่ายแพ้ของฝ่ายผู้รุกรานและต้องถอยทัพกลับไปพร้อมกับความต้องการที่จะแก้แค้น แม้ฝ่ายมุสลิมจะบาดเจ็บเสียชีวิตไปบ้าง แต่ก็น้อยกว่าฝ่ายผู้รุกราน แต่ที่แน่ๆก็คือชัยชนะครั้งนั้นได้ทำให้มุสลิมมีความเชื่อมั่นศรัทธาในพระเจ้าและเชื่อฟังนบีมุฮัมมัดมากขึ้น ส่งผลให้ประชาคมมุสลิมเติบใหญ่เข้มแข็งเป็นกำลังหลักของเมืองมะดีนะฮฺในเวลาต่อมา
You must be logged in to post a comment Login