- อย่าไปอินPosted 1 day ago
- ปีดับคนดังPosted 2 days ago
- เรื่องยังไม่จบPosted 3 days ago
- ต้องช่วยผู้หญิงขึ้นจากขุมนรกPosted 4 days ago
- คนดีสยบทุกอย่างได้Posted 5 days ago
- จัดการได้ก็ทำเถอะPosted 1 week ago
- ชวนทำบุญครั้งสุดท้ายPosted 1 week ago
- อย่าไปซ้ำเติมPosted 1 week ago
- คงมีโอกาสดีได้นะPosted 2 weeks ago
- ช่วยสร้างบรรยากาศชื่นมื่นPosted 2 weeks ago
นบีมุฮัมมัดปฏิบัติต่อเชลยศึกอย่างไร?
คอลัมน์ : สันติธรรม
ผู้เขียน : บรรจง บินกาซัน
(โลกวันนี้รายวัน ประจำวันที่ 3 พ.ค. 67)
“จงปฏิบัติต่อเชลยศึกด้วยดี”
นี่มิใช่บทสรุปจากสนธิสัญญาเจนีวาที่ว่าด้วยการปฏิบัติต่อเชลยศึก แต่มันเป็นคำพูดของนบีมุฮัมมัดเมื่อประมาณ 1,400 กว่าปีก่อนหลังเสร็จสิ้นสงครามป้องกันการรุกรานจากศัตรูครั้งแรก
ตามประเพณีของชาวอาหรับก่อนอิสลาม หลังสงคราม หากใครตกเป็นเชลย อนาคตของคนผู้นั้นส่วนใหญ่จะตกเป็นทาสเพื่อนำไปใช้เป็นแรงงานหรือไม่ก็ขายต่อ หรือมิเช่นนั้นก็ตาย
หลังสงครามบะดัรฺซึ่งเป็นสงครามครั้งแรกของมุสลิม มีบันทึกว่าเชลยศึกบางคนถูกประหารเพราะอาชญากรรมที่ทำไว้ก่อนหน้านี้ในเมืองมักก๊ะฮฺ ส่วนที่เหลือได้รับโอกาสให้เลือกว่าจะเข้ารับอิสลามเพื่อแลกกับอิสรภาพ หรือจ่ายค่าไถ่ตัวแล้วเป็นอิสระ หรือสอนมุสลิมสิบคนให้อ่านหนังสือออกแล้วได้รับการปล่อยตัว
คำสั่งของนบีมุฮัมมัดข้างต้นมาจากวจนะของพระเจ้าที่กล่าวถึงคนดีว่าคนเหล่านั้นคือ “ผู้เลี้ยงอาหารคนยากจนและเด็กกำพร้าและเชลยด้วยความรักที่มีต่อพระเจ้าและพวกเขากล่าวว่า ‘เราให้อาหารแก่พวกท่านเพื่อพระเจ้า เราไม่ได้หวังการตอบแทนและการขอบคุณใดๆจากท่าน’” (กุรอาน 76:8-9)
สาวกของนบีมุฮัมมัดได้ปฏิบัติต่อเชลยศึกตามคำสั่งของท่านอย่างเคร่งครัด ฮุซัยร์ บินฮุมัยร์ หนึ่งในเชลยศึกกล่าวว่า “ฉันอยู่กับครอบครัวชาวมะดีนะฮฺที่ควบคุมตัวฉันหลังถูกจับตัวเป็นเชลย เมื่อใดที่พวกเขากินอาหารมื้อกลางวันหรือมื้อเย็น พวกเขาให้ความสำคัญแก่ฉันก่อนโดยการให้ขนมปัง ส่วนพวกเขากินอินทผลัมทั้งนี้เพื่อเป็นการปฏิบัติตามคำสั่งของมุฮัมมัดที่ให้ปฏิบัติต่อเชลยด้วยดี”
อีกตัวอย่างหนึ่ง ษุมามะฮ์ อิบนุอะซาลถูกจับตัวเป็นเชลยและถูกมัดไว้กับเสาต้นหนึ่งในมัสยิด นบีมุฮัมมัดได้สั่งว่า “จงปฏิบัติต่อเขาด้วยดีในขณะที่ถูกจับกุม” เมื่อนบีกลับไปบ้าน ท่านได้สั่งให้รวมอาหารเท่าที่มีอยู่ไปให้ษุมามะฮ์”
การที่นบีมุฮัมมัดปฏิบัติต่อเชลยเช่นนั้นเพราะมนุษย์มีคุณค่าและเกียรติติดตัวมาในฐานะเป็นสิ่งถูกสร้างของพระเจ้า
ต่อมา นบีมุฮัมมัดได้เข้าไปหาษุมามะฮ์เพื่อสอบสวนและถามเขาว่า “ท่านคิดอย่างไร?” เขาตอบว่า “ท่านเป็นคนดี ถ้าท่านฆ่าฉัน ฉันก็สมควรถูกฆ่าเพราะมือฉันเปื้อนเลือดมุสลิม แต่ถ้าท่านปล่อยตัวฉันก็เท่ากับท่านทำดีต่อคนที่รู้จักสำนึกในบุญคุณ ถ้าท่านต้องการเงิน จงขอฉันเท่าที่ท่านต้องการ”
หลังจากนั้น นบีมุฮัมมัดได้ออกไปจากเขา ในวันต่อมา ท่านนบีได้ไปหาเขาและษุมามะฮ์ก็พูดเหมือนเดิม วันที่สาม นบีมุฮัมมัดได้ไปหาเขาและสั่งคนที่ควบคุมตัวเขาว่า “ปล่อยษุมามะฮ์ไป”
ผู้ควบคุมตัวษุมามะฮ์ได้แก้เชือกที่มัดตัวของเขาไว้และปล่อยเขาไป เมื่อษุมามะฮ์หลุดจากพันธนาการ เขาได้ไปที่โคนต้นอินทผลัมและทำความสะอาดร่างกาย หลังจากนั้น เขาได้กลับมาหานบีมุฮัมมัดและพูดกับท่านว่า “ฉันขอยืนยันว่าไม่มีพระเจ้าอื่นใดนอกจากอัลลอฮฺและฉันยืนยันว่าท่านเป็นศาสนทูตของอัลลอฮฺ มุฮัมมัด ฉันขอสาบานต่ออัลลอฮฺว่าไม่มีใครบนหน้าแผ่นดินนี้ที่ฉันเกลียดมากกว่าท่าน แต่ตอนนี้ ท่านเป็นผู้ที่ฉันรักมากที่สุด ฉันขอสาบานต่ออัลลอฮฺว่าไม่มีศาสนาใดบนหน้าแผ่นดินนี้ที่ฉันเกลียดมากไปกว่าศาสนาของท่าน แต่ตอนนี้ ไม่มีศาสนาใดในโลกนี้ที่ฉันรักมากไปกว่าศาสนาของท่าน ก่อนนี้ ไม่มีประเทศใดในโลกที่ฉันเกลียดมากไปกว่าประเทศของท่าน แตต่อนนี้ ฉันรักประเทศของท่านมากกว่าประเทศอื่นๆในโลก คนของท่านจับตัวฉันระหว่างที่ฉันจะไปเยือนก๊ะอฺบ๊ะฮฺ ฉันควรจะทำอย่างไร?”
นบีมุฮัมมัดได้แสดงความยินดีต่อเขาและบอกเขาให้ไปทำสิ่งที่เขาต้องากร เมื่อเขามายังมักก๊ะฮฺ มีคนถามเขาว่า “ท่านเปลี่ยนศาสนาแล้วหรือ?” เขากล่าวว่า “ไม่ แต่ฉันได้ยอมจำนนต่อนบีมุฮัมมัดแล้ว ฉันขอสาบานต่ออัลลอฮฺว่าท่านจะไม่ได้รับเมล็ดข้าวสาลีจากยะมามะฮ์แม้แต่เมล็ดเดียวจนกว่านบีมุฮัมมัดจะอนุญาตเสียก่อน”
You must be logged in to post a comment Login