วันพฤหัสที่ 21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2567

แพทย์ชี้คนไทยขาดวิตามินดี เสี่ยงเป็นโรคกระดูกพรุน เฉลี่ยปีล่ะ 2.5-3% ของจำนวนประชากร

On May 6, 2024

แสงแดดใครคิดว่าไม่สำคัญแดดอ่อนๆในยามเช้าและช่วงเย็นช่วยเพิ่มวิตามินดีทำให้กระดูกแข็งแรง      ลดภาวะเสี่ยงต่อโรคกระดูกพรุนหลายคนคิดว่าแสงแดดเป็นอันตรายต่อผิวสร้างริ้วรอยหมองคล้ำฝ้ากระทำให้มองข้ามประโยชน์ของแสงแดดไปจากการศึกษาพบว่าแสงแดดมีส่วนสำคัญในการป้องกันโรคกระดูกพรุนและภาวะขาดวิตามินดีการออกกำลังกายรับแสงแดดอ่อนๆในยามเช้าทำให้ร่างกายได้รับวิตามินดีซึ่งช่วยเสริมสร้างกระดูกให้แข็งแรงลดภาวะความเสี่ยงต่อโรคกระดูกพรุนซึ่งพบผู้ป่วยสูงถึง2.5-3 %ของจำนวนประชากรไทยในทุกเพศทุกวัย

นพ.พีรพงษ์ สวัสดิพงษ์ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านศัลยศาสตร์ออร์โธปิดิกส์ ผ่าตัดเปลี่ยนข้อเข่าและข้อสะโพกเทียม และการฝังเข็มลดปวดตามศาสตร์แพทย์แผนจีน รพ.พระรามเก้ากล่าวว่า ในปัจจุบันคนไทยมีภาวะขาดวิตามินดีสูงมาก ยิ่งตรวจยิ่งเจอ และพบในทุกเพศทุกวัย เฉลี่ยคนไข้ 100 คน จะตรวจพบว่าคนไข้มีภาวะขาดวิตามินดีประมาณ 30-40% คน สาเหตุมาจากคนไทยกลัวแดดมากเกินไป  ในความเป็นจริงแสงแดดอ่อนๆในยามเช้า เมื่อซึมผ่านเข้าไปใน

ผิวจนถึงชั้นผิวหนัง จะช่วยให้ร่างกายสร้างวิตามินดีได้ดีมาก จะช่วยเสริมสร้างกระดูกให้แข็งแรง ลดภาวะเสี่ยงการเป็นโรคกระดูกพรุนในอนาคต เมื่อเข้าสู้วัยผู้สูงอายุ

การขาดวิตามินดีเกี่ยวข้องกับโรคกระดูกพรุนอย่างไรหลายๆคนคงสงสัยและเกิดคำถามมากมายว่าเพราะอะไรเราต้องออกกำลังกายช่วงแดดอ่อนๆนพ.พีรพงษ์สวัสดิพงษ์ให้ข้อมูลต่อว่า“วิตามินดี” มีประโยชน์มากมาย เป็นตัวช่วยดูดซึมแคลเซียมที่รับประทานเข้าไปเพื่อเสริมสร้างกระดูกและป้องกัน โรคกระดูกพรุน  ยังมีประโยชน์อื่นๆ ที่คาดไม่ถึง เช่น ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด ควบคุมความดันโลหิต ลดความเสี่ยงโรคหลอดเลือดหัวใจ อีกทั้งยัง คลายความเครียด ลดอาการโรคซึมเศร้า ได้อีกด้วย ซึ่งเมื่อคนไทยเกิดภาวะขาดวิตามินดี แน่นอนว่า “กระดูกของเรา” จะไม่แข็งแรง เปราะบาง เกิดการหักได้ง่าย โดยปกติร่างกายจะสามารถสร้างเซลล์กระดูกที่ดีและแข็งแรงได้ถึงอายุ 30 ปี แต่หลังจากนี้ความหนาแน่นของมวลกระดูกจะค่อยๆเสื่อมถอยลง และเมื่อเข้าสู่วัย 60 ปี หรือผู้หญิงวัยหมดประจำเดือน กระดูกจะเปราะบางและหักง่าย มีการประมาณการว่าในปี 2568 จะมีผู้ป่วยกระดูกสะโพกหักในประเทศไทยมากถึง 3หมื่นกว่าราย และเพิ่มขึ้นปีละ 2% จนในอนาคตอีก 25 ปี อาจมีผู้ป่วยกระดูกสะโพกหักมากถึง 5 หมื่นรายต่อปี โดยพบสัดส่วนผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย 2 เท่า

โรคกระดูกพรุนเป็นเหมือนภัยเงียบเพราะจะไม่แสดงอาการของโรคจนกว่าจะเกิดกระดูกหักนพ.พีรพงษ์เปิดเผยข้อมูลต่อว่า จากการศึกษาทางการแพทย์ เริ่มมีการศึกษาเรื่องกระดูกพรุน อย่างจริงจังในช่วง 10-20 ปี ที่ผ่านมา ทำให้ทราบว่า “อาการกระดูกหัก เปราะบาง ในผู้สูงอายุ และผู้หญิงวัยหมดประจำเดือน” คือ “โรคกระดูกพรุน” ที่สะสมมานานเป็นเวลาหลายสิบปี

โรคกระดูกพรุนเกิดจากการสลายของเนื้อกระดูกอย่างต่อเนื่องทำให้มวลกระดูกลดลงส่งผลให้กระดูกไม่แข็งแรงเปราะบางทำให้มีโอกาสกระดูกหักผิดรูปได้ง่ายระยะเวลาในการเกิดโรคหลายปีโดยปกติในร่างกายคนเราจะมีเซลล์สร้างกระดูกและเซลล์ทำลายกระดูกที่ทำหน้าที่สร้างและสลายกระดูกอย่างสมดุลกันโดยเซลล์สร้างกระดูกจะทำหน้านำแคลเซียมที่ร่างกายดูดซึมมาใช้สร้างกระดูกให้แข็งแรงแต่เมื่อกระดูกได้รับบาดเจ็บหรือเสื่อมสภาพตามอายุเซลล์ทำลายกระดูกก็จะทำหน้าที่ย่อยสลายกระดูกในส่วนนั้นเพื่อให้เซลล์สร้างกระดูกมาทำหน้าที่สร้างกระดูกใหม่ชดเชยกระดูกส่วนที่ถูกสลายไป

อีกหนึ่งคำถามยอดฮิตเราจะรู้ได้ยังไงว่าเริ่มมีอาการของโรคกระดูกพรุนแล้ว   นพ.พีรพงษ์ เล่าต่อว่า

โรคกระดูกพรุนคือภัยเงียบที่ทุกคนต้องระวังโดยเราสามารถสังเกต4สัญญาณของโรคได้ดังนี้  1.ส่วนสูงลดลงมากกว่า 4 เซนติเมตรจากความสูงเดิม  2.หลังค่อมงุ้มลงเนื่องจากกระดูกสันหลังแตกยุบ3.มีอาการปวดกระดูกเรื้อรัง      4.กระดูกข้อมือหรือกระดูกสะโพกหักง่ายโดยอาการนี้มักจะเกิดกับผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย

ส่วนสาเหตุในการเกิดโรคกระดูกพรุน   มีดังนี้ 1.การขาดวิตามินดี 2.การขาดแคลเซียม 3.พันธุกรรม หากในครอบครัวมี ปู่ย่า  ตายาย ที่ป่วยเป็นโรคกระดูกพรุน จะส่งผลให้ลูกหลานในครอบครัวมีโอกาสเป็นโรคนี้สูงขึ้น 4.เกิดจากการใช้ “ยา” บางชนิดที่ส่งผลให้ความหนาแน่นของกระดูกลดลง เช่น สเตียรอยด์ซึ่งใช้รักษาโรคไขข้ออักเสบ โรคหอบหืด ยารักษาโรคกระเพาะอาหาร ยาต้านการแข็งตัวของโลหิต 5.การสูบบุหรี่ หรือการดื่มสุราเป็นประจำ

นพ. พีรพงษ์กล่าวปิดท้ายว่าวิธีง่ายๆในการป้องกันโรคกระดูกพรุน คือ 1. ออกกำลังกายกลางแจ้งในบริเวณที่มีแสงแดดอ่อนๆสม่ำเสมอทุกวัน เน้นการออกกำลังกายแบบลงน้ำหนัก 2.หากมีอาการปวดตามข้อหรือปวดกระดูกไม่ว่าจากสาเหตุใด ควรรีบปรึกษาแพทย์ 3. รับประทานอาหารที่มีแคลเซียมสูง เช่น นมวัวชนิดไขมันต่ำหรือรับประทานแคลเซียมให้ได้ถึงวันละ 600 มิลลิกรัม หลีกเลี่ยงอาหารเค็ม 4.งดการดื่มสุราและสูบบุหรี่ 5.ไม่ควรซื้อยารับประทานเอง เช่น ยาลูกกลอน เพราะอาจมีสเตียรอยด์ผสมอยู่ ทำให้เสี่ยงต่อโรคกระดูกพรุนได้ 6.ถ้าเป็นไปได้แนะนำตรวจวัดระดับวิตามินดีในร่างกายทุกๆปี หากพบว่าต่ำกว่าเกณฑ์ที่กำหนด ให้รีบปรึกษาแพทย์ทันที

สำหรับวิวัฒนาการ “การรักษา” โรคกระดูกพรุน” ในปัจจุบัน ค่อนข้างจะทันสมัยมากขึ้นตามลำดับ โดยแพทย์จะเริ่มต้นการด้วยการตรวจวัดความหนาแน่นของกระดูกด้วยเครื่องเอกซเรย์สำหรับวัดความหนาแน่นของกระดูกโดยเฉพาะ ใช้ปริมาณรังสีเอกซเรย์ที่ต่ำกว่าการเอกซเรย์ทรวงอก และตรวจภาวะการขาดวิตามินดี เมื่อพบว่าต่ำกว่าเกณฑ์ที่กำหนด แต่อาการของโรคอยู่ในระยะแรกเริ่ม แพทย์จะรักษาโดยการให้แคลเซียมและวิตามินดี ร่วมกับกระตุ้นให้ออกกำลังกาย แต่หากโรคกระดูกพรุนอยู่ในขั้นรุนแรงร่วมกับประเมินแล้วมีความเสี่ยงต่อกระดูกหักที่ส่งผลกระทบต่อการดำเนินชีวิต แพทย์จะมีวิธีการรักษาดังนี้

  1. การให้ยารักษาโรคกระดูกพรุนกลุ่มชี้เป้าโดยทานสัปดาห์ล่ะ1เม็ดหรือฉีดปีละ1ครั้ง
  2. การฉีดยายับยั้งการทำงานของเซลล์สลายกระดูกโดยยาชนิดนี้จัดเป็นโปรตีนคือเป็น monoclonal antibodyทำหน้าที่ยับยั้งการทำงานเซลล์สลายกระดูกซึ่งจะฉีด6เดือนต่อ1เข็ม
  3. ฉีดฮอร์โมนพาราไทรอยด์” ซึ่งสังเคราะห์เลียนแบบที่ร่างกายผลิตขึ้นทุกวันเพื่อกระตุ้นให้เซลล์สร้างกระดูกให้ทำหน้าที่ได้ดียิ่งขึ้น

เมื่อได้อ่านข้อมูลโรคกระดูกพรุนที่คุณหมอกล่าวมาเบื้องต้นแล้วหลายๆคนที่กลัวการออกกำลังกายกลางแดดควรปรับทัศนคติและความคิดใหม่แสงแดดไม่ได้อันตรายอย่างที่เราคิดร่วมกับการรับประทานอาหารอย่างเหมาะสม ลดเค็ม เน้นโปรตีนที่เหมาะสมและหากท่านสังเกตว่าตัวเองหรือคุณพ่อคุณแม่ปู่ย่าตายายที่อายุมากกว่า50ปีมีอาการความเสี่ยงการเป็นโรคกระดูกพรุนสามารถติดต่อสอบถามข้อมูลได้ที่ โรงพยาบาลพระรามเก้า หรือ Website: www.praram9.com / FB: Praram 9 hospital / Line: lin.ee/vR9xrQs หรือ @praram9hospital หรือโทร. 1270


You must be logged in to post a comment Login