- เรื่องยังไม่จบPosted 1 day ago
- ต้องช่วยผู้หญิงขึ้นจากขุมนรกPosted 2 days ago
- คนดีสยบทุกอย่างได้Posted 3 days ago
- จัดการได้ก็ทำเถอะPosted 6 days ago
- ชวนทำบุญครั้งสุดท้ายPosted 7 days ago
- อย่าไปซ้ำเติมPosted 1 week ago
- คงมีโอกาสดีได้นะPosted 1 week ago
- ช่วยสร้างบรรยากาศชื่นมื่นPosted 1 week ago
- หนีกรรมไม่พ้นPosted 2 weeks ago
- บทเรียนพระสายมูPosted 2 weeks ago
รู้จักพระเจ้าด้วยการรู้จักตัวเอง
คอลัมน์ : สันติธรรม
ผู้เขียน : บรรจง บินกาซัน
(โลกวันนี้รายวัน ประจำวันที่ 17 พ.ค. 67)
ถ้าหุ่นยนตร์ตัวหนึ่งถูกมนุษย์สร้างขึ้นมาด้วยความรู้ความสามารถและเวลา มนุษย์ผู้มีปัญญาจะอ้างได้อย่างไรว่าตัวตนของมนุษย์เกิดขึ้นมาโดยบังเอิญ เพราะความบังเอิญไม่มีในโลก
มนุษย์มิได้เกิดขึ้นโดยบังเอิญจากธาตุสามสี่อย่างรวมตัวกันในสภาวะที่เหมาะสมจนกลายเป็นจุดเริ่มต้นของชีวิตตามทฤษฎีวิวัฒนาการของชาวตะวันตกและนักวิชาการไทยไปลอกมาเขียนเป็นตำราให้เด็กไทยเรียนกัน
มนุษย์มิได้เป็นผู้สร้างมนุษย์ขึ้นมา แต่มนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่ถูกสร้างขึ้นและมีตัวตนอยู่แล้ว ดังนั้น มนุษย์จึงต้องมีผู้สร้างและผู้สร้างนั้นเป็นผู้ใดไปไม่ได้นอกจากพระเจ้าผู้สร้างทุกสรรพสิ่ง
ทั้งหมดในจักรวาลนี้จึงเป็นสิ่งถูกสร้างที่มีพระเจ้าเป็นผู้ทรงสร้างแต่เพียงผู้เดียว
ความจริงดังกล่าวนี้ถูกกล่าวไว้ในคัมภีร์ทางศาสนาที่มาจากพระเจ้า ความเชื่อที่ต่างไปจากนี้จึงเป็นอวิชชา
คัมภีร์ไบเบิลและคัมภีร์กุรอานกล่าวตรงกันถึงการสร้างมนุษย์ว่าพระเจ้าสร้างมนุษย์มาจากดินและสร้างมนุษย์ตามฉายาหรือพระนามของพระองค์(ปฐมกาล 1:26) แต่ดินเป็นวัตถุที่ไม่มีวิญญาณ พระองค์จึงเป่าวิญญาณเข้าไปในดิน ทำให้ดินกลายเป็นมนุษย์ที่มีชีวิตขึ้นมา วิญญาณจึงเป็นชีวิตที่แท้จริงของมนุษย์และวิญญาณของมนุษย์นี้เองที่จะออกจากร่างในตอนหมดลมหายใจเพื่อกลับไปหาผู้ประทานวิญญาณให้แก่มนุษย์
คัมภีร์กุรอานกล่าวว่าหลังจากอาดัมผู้เป็นมนุษย์คนแรกเกิดขึ้นแล้ว พระเจ้าได้สอนนามต่างๆให้แก่อาดัม
นักวิชาการอธิบายว่า “นามต่างๆ” นี้หมายถึง 1) นามของพระเจ้าและคุณสมบัติของพระองค์ และ 2) นามของสรรพสิ่งที่พระเจ้าสร้างขึ้นมา
เมื่อพระเจ้าสร้างมนุษย์ขึ้นมาตามฉายาของพระองค์ การรู้จักพระเจ้าก็ไม่ใช่เรื่องยากหากมนุษย์พิจารณาจากตัวเอง พระเจ้าเป็นผู้ทรงเห็น พระองค์จึงสร้างลูกตาเพื่อให้มนุษย์มองเห็น แต่การมองเห็นของมนุษย์มีขีดจำกัด ผิดกับพระเจ้าที่มองเห็นทุกสิ่งทั้งในที่ลับและที่แจ้ง และมนุษย์ไม่สามารถมองเห็นพระองค์ไม่ว่าจะด้วยเครื่องมือทันสมัยอย่างไรก็ตาม
พระเจ้าเป็นผู้ทรงได้ยิน พระเจ้าก็ให้มนุษย์มีหูเพื่อการได้ยิน แต่การได้ยินของมนุษย์มีขีดจำกัด ผิดกับการได้ยินของพระเจ้าที่ได้ยินทุกสิ่งแม้แต่เสียงกระซิบในหัวใจของมนุษย์
คัมภีร์จะกล่าวว่าพระเจ้าสร้างมนุษย์ขึ้นมาด้วยพระหัตถ์ของพระองค์ มนุษย์จึงมีมือ แต่กระนั้น มนุษย์ก็ไม่สามารถจินตนาการได้ว่าพระหัตถ์ของพระเจ้าเป็นอย่างไร และนี่คือ “อจินไตย” หรือสิ่งที่ไม่ควรไปคิดเพราะมันสุดที่จะจินตนาการได้ แค่เพียงรู้ว่าจะใช้มือที่มีอยู่ไปในทางที่ดีอย่างไรก็พอแล้ว
นอกเหนือไปจากคุณสมบัติทางกายภาพที่พระเจ้าปร่ะทานแก่มนุษย์แล้ว พระเจ้ายังประทานคุณสมบัติอันดีงามให้แก่มนุษย์ด้วย เช่น พระเจ้ามีพระนามว่าผู้ทรงเมตตา พระองค์จึงประทานความเมตตาให้เป็นคุณสมบัติทางวิญญาณแก่มนุษย์ด้วย แต่เราจะรู้ได้อย่างไรว่าใครมีคุณสมบัติแห่งความเมตตาและนำความเมตตาออกมาใช้ ด้วยเหตุนี้ พระองค์จึงให้มีคนตกทุกข์ได้ยากและคนทุพลภาพเกิดขึ้นเพื่อให้คนมีตามองเห็นและนำเอาคุณสมบัติแห่งความเมตตาของพระเจ้าออกมาใช้โดยการหยิบยื่นความช่วยเหลือให้
อีกตัวอย่างหนึ่งก็คือ พระเจ้าเป็นผู้ทรงให้อภัย ดังนั้น พระองค์จึงประทานคุณสมบัตินี้ให้เป็นคุณสมบัติทางด้านวิญญาณแก่มนุษย์ แต่เราจะรู้ได้อย่างไรว่าใครมีคุณสมบัติแห่งการให้อภัยถ้าพระองค์ไม่ให้ใครบางคนทำให้คนผู้นั้นโกรธหรือโมโหเพื่อที่เราจะได้ให้อภัย
ในอิสลาม การรู้จักและศรัทธาในพระเจ้ามิได้หมายถึงการเชื่อในการมีอยู่ของพระเจ้าเพียงหนึ่งเดียว แต่หมายถึงการรู้จักและศรัทธาในพระนามและคุณสมบัติต่างๆของพระองค์เพื่อใช้คุณสมบัติเหล่านั้นในการพัฒนาจิตวิญญาณของตนให้สูงส่ง
You must be logged in to post a comment Login