- อย่าไปอินPosted 19 hours ago
- ปีดับคนดังPosted 2 days ago
- เรื่องยังไม่จบPosted 3 days ago
- ต้องช่วยผู้หญิงขึ้นจากขุมนรกPosted 4 days ago
- คนดีสยบทุกอย่างได้Posted 5 days ago
- จัดการได้ก็ทำเถอะPosted 1 week ago
- ชวนทำบุญครั้งสุดท้ายPosted 1 week ago
- อย่าไปซ้ำเติมPosted 1 week ago
- คงมีโอกาสดีได้นะPosted 2 weeks ago
- ช่วยสร้างบรรยากาศชื่นมื่นPosted 2 weeks ago
ตรรกะวิบัติของพวกที่เล่นบิทคอยน์: การผลิตเงินกระดาษ-อนาคตเงินดิจิทัล
คอลัมน์ :โลกอสังหาฯ
ผู้เขียน : ดร.โสภณ พรโชคชัย
(โลกวันนี้รายวัน ประจำวันที่ 21 พ.ค. 67)
มาอีกแล้วครับ บทความของผู้ร่วมเปิดโปงอาชญากรในวงการบิทคอยน์ (คนดีก็มีเยอะนะครับ) ท่านช่วยเขียนมาเพราะกลัวแปดเปื้อน กลัวพวกเชียร์ให้คนซื้อบิทคอยน์เก็งกำไรด่าเอา แต่ผมไม่กลัว จึงขอนำมาเผยแพร่เพื่อสร้างสังคมอุดมปัญญา ให้แมงเม่าตาสว่าง
หนึ่งในข้ออ้างที่แสดงให้เห็นถึงความคิดที่ผิดพลาดและไร้เหตุผลของพวกที่เล่นบิทคอยน์ก็คือ การกล่าวหาว่าระบบการเงินแบบดั้งเดิมนั้นใช้พลังงานมาก โดยอ้างถึงกระบวนการผลิตเงินกระดาษที่เป็นกระบวนการที่สิ้นเปลืองทรัพยากรและทำลายสิ่งแวดล้อม พวกเขาพยายามยกคลิปวิดีโอการผลิตธนบัตรที่แชร์กันอย่างแพร่หลายขึ้นมา เพื่อโจมตีระบบการเงินแบบดั้งเดิม และสร้างความชอบธรรมให้กับการใช้พลังงานไปอย่างสิ้นเปลืองของบิทคอยน์
แต่นี่เป็นเพียงการมองโลกผ่านเลนส์ของตัวเอง โดยเลือกมองข้ามความจริงที่ว่า ปริมาณการใช้เงินสดในโลกแห่งความเป็นจริงนั้นลดลงทุกขณะ จากการเปลี่ยนผ่านสู่ระบบการชำระเงินแบบดิจิทัลที่กำลังเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว ซึ่งไม่เพียงแต่จะช่วยลดการพึ่งพาเงินกระดาษ แต่ยังเพิ่มความสะดวก รวดเร็ว และปลอดภัยให้กับการทำธุรกรรมอีกด้วย
การยึดติดกับกรอบคิดแบบเดิม ๆ และการปฏิเสธที่จะเผชิญหน้ากับความเป็นจริง เป็นสิ่งที่สะท้อนให้เห็นถึงตรรกะที่บิดเบี้ยวของพวกที่เล่นบิทคอยน์ได้เป็นอย่างดี และแสดงให้เห็นว่า ข้อกล่าวหาต่าง ๆ นั้น แท้จริงแล้วเป็นเพียงแค่โฆษณาชวนเชื่อ เพื่อสร้างความชอบธรรมให้กับการใช้พลังงานไปอย่างสิ้นของบิทคอยน์ก็เท่านั้น
จริงอยู่ที่กระบวนการผลิตเงินกระดาษ ซึ่งมีการใช้พลังงานที่สูง ซึ่งทำลายสิ่งแวดล้อมและสิ้นเปลืองทรัพยากรไปบ้าง แต่สิ่งที่พวกที่เล่นบิทคอย์ปกปิดเอาไว้ก็คือ ปริมาณการใช้เงินสดในหลายประเทศทั่วโลกกำลังลดลงอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเทศจีน ที่กำลังก้าวสู่สังคมไร้เงินสดอย่างเต็มรูปแบบ ด้วยการใช้ระบบการชำระเงินแบบดิจิทัล เช่น Alipay และ WeChat Pay อย่างแพร่หลาย ซึ่งไม่เพียงแต่จะช่วยลดการใช้เงินสด แต่ยังเพิ่มความสะดวกและความปลอดภัยในการทำธุรกรรมอีกด้วย
ในขณะเดียวกัน ธนาคารกลางหลายแห่งทั่วโลกก็กำลังพัฒนา “สกุลเงินดิจิทัลที่ออกโดยธนาคารกลาง” (Central Bank Digital Currency – CBDC) ซึ่งจะช่วยให้การทำธุรกรรมทางการเงินเป็นไปอย่างรวดเร็ว ปลอดภัย และมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ด้วยเหตุนี้ จึงเป็นการยากที่จะเชื่อได้ว่า การผลิตเงินกระดาษจะยังคงเป็นประเด็นปัญหาสำคัญในอนาคต เมื่อโลกกำลังเปลี่ยนผ่านสู่ระบบการชำระเงินแบบดิจิทัลอย่างรวดเร็ว
แต่อีกประเด็นหนึ่งที่มักถูกมองข้าม คือ ความสามารถในการปรับตัว (Adaptability) และการขยายตัว (Scalability) ของระบบการเงินแบบดั้งเดิม ในขณะที่บิทคอยน์ยึดติดกับนโยบายที่ตายตัวและไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ ระบบการเงินแบบดั้งเดิมกลับมีความยืดหยุ่นและสามารถปรับเปลี่ยนให้เข้ากับความต้องการของผู้ใช้ได้อย่างรวดเร็ว ไม่ว่าจะเป็นการพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ ๆ เพื่อเพิ่มความเร็วในการทำธุรกรรม
การนำเอาปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence – AI) และการวิเคราะห์ข้อมูลขนาดใหญ่ (Big Data Analytics) มาใช้ในการป้องกันการฉ้อโกงและอาชญากรรมทางการเงินหรือการออกกฎระเบียบใหม่เพื่อปกป้องสิทธิของผู้บริโภค ซึ่งสิ่งเหล่านี้ล้วนแสดงให้เห็นถึงพลวัตและความสามารถในการปรับตัวของระบบการเงินแบบดั้งเดิม ที่พร้อมจะรับมือกับความท้าทายใหม่ ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
นอกจากนี้ สิ่งที่ทำให้บิทคอยน์ดูเหมือนจะด้อยค่ากว่าระบบการเงินแบบดั้งเดิม คือ กระบวนการสร้างเหรียญใหม่ที่ต้องใช้พลังงานจำนวนมหาศาล และมีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมอย่างร้ายแรง จากข้อมูลจาก digiconomist พบว่า การทำเหมืองขุดบิทคอยน์ทั่วโลกต้องใช้พลังงานไฟฟ้ามากถึง 170.12 เทระวัตต์-ชั่วโมง (TWh) ต่อปี ซึ่งมากกว่าปริมาณการใช้ไฟฟ้าทั้งหมดของประเทศโปแลนด์ และก่อให้เกิดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ถึง 94.89 ล้านตัน เทียบเท่ากับปริมาณการปล่อยก๊าซของประเทศไนจีเรีย นอกจากนี้ บิทคอยน์ยังมีแนวโน้มที่การใช้พลังงานจะเพิ่มขึ้นอีกหลายเท่าในอนาคต หากมีการใช้งานในวงกว้างมากขึ้น
ในทางตรงข้าม ระบบการเงินแบบดั้งเดิมกลับมีการใช้พลังงานที่ลดลงเรื่อยๆ และมีประสิทธิภาพต่อธุรกรรมที่สูงกว่ามาก ยกตัวอย่างเช่น ระบบการชำระเงินของ VISA นั้นสามารถประมวลผลธุรกรรมได้ถึง 138.3 พันล้านรายการต่อปี ในขณะที่ใช้พลังงานเพียง 740,000 กิกะจูล หรือเทียบเท่ากับการใช้ไฟฟ้าของครัวเรือนในสหรัฐฯ เพียง 19,304 ครัวเรือนเท่านั้น เมื่อเปรียบเทียบในแง่ของจำนวนธุรกรรมแล้ว จะพบว่า VISA สามารถประมวลผลธุรกรรมได้มากกว่าบิทคอยน์ถึง 582,372 เท่า (ห้าแสน แปดหมื่น สองพัน สามร้อย เจ็ดสิบ สองเท่า)ต่อหน่วยพลังงานที่ใช้ไป
นอกจากนี้จำนวนผู้ใช้งานและปริมาณธุรกรรมของบิทคอยน์นั้นก็ยังเทียบไม่ติดกับระบบการเงินแบบดั้งเดิมอีกด้วย จากข้อมูล ณ เดือนมีนาคม 2024 มีกระเป๋าบิทคอยน์ที่มีมูลค่าอย่างน้อย 1 ดอลลาร์สหรัฐฯ อยู่ราว 46 ล้านกระเป๋าเท่านั้น ซึ่งน้อยกว่าที่หลายคนเข้าใจผิดคิดว่ามีผู้ใช้งานบิทคอยน์นับร้อยล้านคน ซึ่งหนึ่งคนอาจจะเป็นเจ้าของมากกว่าหนึ่งกระเป๋าก็ได้
แม้ว่าจะมีการสร้างกระเป๋าบิทคอยน์ไปแล้วประมาณ 460 ล้านกระเป๋า แต่ 90% ของกระเป๋าเหล่านี้ไม่ได้ใช้งานแล้วหรือมีมูลค่าเพียงเล็กน้อย จากกระเป๋าที่มีมูลค่า 46 ล้านกระเป๋า มีเพียง 21.5 ล้านกระเป๋าเท่านั้นที่มีมูลค่ามากกว่า 100 ดอลลาร์ และประมาณ 1 ใน 4 หรือ 22.2% ของกระเป๋าทั้งหมดที่มีมูลค่ามากกว่า 1,000 ดอลลาร์
สัดส่วนของกระเป๋าที่มีมูลค่าสูงยิ่งน้อยลงไปอีก โดยมีเพียง 7.5% ที่มีมูลค่ามากกว่า 10,000 ดอลลาร์, 1.4% ที่มากกว่า 100,000 ดอลลาร์ และ 0.2% ที่มากกว่า 1 ล้านดอลลาร์เท่านั้น ซึ่งแสดงให้เห็นว่ากระเป๋าบิทคอยน์ส่วนใหญ่มีเงินอยู่เพียงจำนวนเล็กน้อย จำนวนผู้ใช้งานบิทคอยน์ที่แท้จริงเมื่อคิดเป็นสัดส่วนที่เป็น % แล้วจึงมีเพียงไม่กี่คนเท่านั้น ซึ่งยังห่างไกลมากเมื่อเทียบกับจำนวนผู้ใช้งานระบบธนาคารและการชำระเงินดิจิทัลหลักหลายพันล้านคนทั่วโลก
จากข้อมูลข้างต้น จึงเห็นได้ชัดว่า การใช้พลังงานของระบบบิทคอยน์นั้นมีประสิทธิภาพที่ต่ำมาก เมื่อเทียบกับความเร็วในการโอนและสัดส่วนของจำนวนธุรกรรมต่อพลังงานที่ใช้ไป ในขณะที่ระบบการเงินแบบดั้งเดิมสามารถประมวลผลธุรกรรมได้มากกว่าและใช้พลังงานน้อยกว่าหลายเท่า ด้วยความแตกต่างในจุดนี้ จึงไม่ใช่เรื่องยากที่จะคาดการณ์ได้ว่า เมื่อเวลาผ่านไป ระบบการเงินแบบดั้งเดิมจะยิ่งทิ้งห่างบิทคอยน์ในแง่ของประสิทธิภาพและความยั่งยืน ในขณะที่บิทคอยน์จะยิ่งกลายเป็นภาระต่อสิ่งแวดล้อมและไม่สามารถตอบสนองความต้องการของผู้ใช้ในวงกว้างได้
จากข้อมูลจาก Statista จะเห็นได้ว่าแม้ปริมาณธุรกรรมของบิทคอยน์จะอยู่ในระดับสูงสุดเมื่อเดือนธันวาคม 2023 โดยมีการประมวลผลมากกว่า 724,000 ธุรกรรมต่อวัน แต่ถึงแม้จะนำวันที่บิทคอยน์มีจำนวนธุรกรรมสูงที่สุดมาเทียบกับปริมาณธุรกรรมของระบบการเงินแบบดั้งเดิมแล้ว ตัวเลขนี้ยังถือว่าต่ำมาก นี่เรายังไม่นับเรื่องที่ว่าธุรกรรมบนบิทคอยน์แทบจะทั้งหมดนั้นเกิดจากการเก็งกำไร หรือโอนเก็บเข้ากระเป๋าเพื่อที่จะถือไว้ในระยะยาว ไม่ได้มีการใช้จ่ายจริง เมื่อนำไปเทียบกับระบบการชำระเงินของธนาคารทั่วโลกที่มีปริมาณธุรกรรมมากกว่า 700,000 ล้านรายการต่อปี จะพบว่าบิทคอยน์มีปริมาณธุรกรรมต่อวันเพียงแค่ 0.0001% ของธุรกรรมในระบบธนาคารเท่านั้น หรือพูดอีกนัยหนึ่ง ระบบธนาคารมีปริมาณธุรกรรมในชีวิตประจำวันมากกว่าบิทคอยน์ถึงเกือบ 1 ล้านเท่าต่อวัน
เมื่อเปรียบเทียบกับระบบการเงินหลักของโลก จะเห็นได้ชัดว่าบิทคอยน์ยังมีขนาดเล็กมาก และยังห่างไกลจากการเป็นสกุลเงินที่ใช้กันอย่างแพร่หลายในชีวิตประจำวัน ในทางกลับกัน ตัวเลขที่แตกต่างกันมากนี้ ยิ่งตอกย้ำให้เห็นถึงประสิทธิภาพที่เหนือกว่าของระบบการเงินแบบดั้งเดิม ที่สามารถประมวลผลธุรกรรมได้มหาศาลในแต่ละวัน ในขณะที่ใช้พลังงานเพียงเศษเสี้ยวเมื่อเทียบกับบิทคอยน์
การเติบโตอย่างก้าวกระโดดของเทคโนโลยีทางการเงิน ทั้ง mobile banking, e-wallet และ digital payment ต่างๆ จะยิ่งผลักดันให้ปริมาณธุรกรรมของระบบธนาคารพุ่งสูงขึ้นอีกในอนาคต ในขณะที่บิทคอยน์มีข้อจำกัดหลายประการที่ทำให้การเติบโตเป็นไปได้ยาก จึงเป็นที่น่าสงสัยว่า บิทคอยน์จะสามารถตามทันพัฒนาการของระบบการเงินแบบดั้งเดิมได้หรือไม่ ในเมื่อตอนนี้ระบบธนาคารก็ล้ำหน้าไปแล้วหลายขุม ทั้งในแง่ของประสิทธิภาพ ความสะดวกใช้งาน และความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
เมื่อพิจารณาให้ลึกซึ้ง จะพบว่าบิทคอยน์เป็นเทคโนโลยีที่เต็มไปด้วยความย้อนแย้ง แม้จะใช้พลังงานมหาศาลในการขุดเหรียญและประมวลผลธุรกรรม แต่คนส่วนใหญ่กลับไม่ได้รับประโยชน์ใดๆ เลย กลับกลายเป็นการสร้างความมั่งคั่งให้กับคนเพียงกลุ่มเล็กๆ โดยไม่มีการกระจายรายได้อย่างเท่าเทียม ในขณะที่ภาระต้นทุนจากการใช้พลังงานและมลพิษกลับตกอยู่กับสังคมโดยรวม และชาวบ้านที่ไม่รู้อิโหน่ อิเหน่ เช่น ค่าไฟฟ้าที่สูงขึ้น ซึ่งกลายเป็นภาระของประชาชนทุกคน ส่วนผู้ที่ได้ประโยชน์จริงๆ คือคนที่ได้รับเหรียญบิทคอยน์มาในต้นทุนที่ถูก แล้วเก็บไว้เก็งกำไรอย่างไร้ประโยชน์ ไม่ได้นำไปสร้างสรรค์สิ่งใดให้กับสังคมและเศรษฐกิจแต่อย่างใด พลังงานที่ใช้ไปกับบิทคอยน์ในแต่ละปี สามารถไปสร้างประโยชน์มหาศาลให้กับโลกได้
นอกจากนี้ การเปรียบเทียบบิทคอยน์เป็น “ทองคำดิจิทัล” ก็เป็นเรื่องไร้สาระสิ้นดี เพราะทองคำเป็นโลหะมีค่าที่มีอยู่จำกัด เมื่อขุดขึ้นมาแล้วก็จะคงอยู่กับเราตลอดไป แต่บิทคอยน์จำเป็นต้องขุดไปเรื่อยๆ ไม่เช่นนั้นระบบก็จะไม่สามารถทำงานได้ เมื่อนักขุดทุกคนหยุดขุดพร้อมกันทั้งโลก ระบบก็จะพังทลายลง มูลค่าของบิทคอยน์ก็จะเหลือศูนย์ ต่างจากทองคำที่ต่อให้ไม่มีการขุด มันก็ไม่ได้หายไปไหน ดังนั้นการเปรียบเทียบว่าบิทคอยน์คือ “ทองคำดิจิทัล” นั้นจึงย้อนแย้งกับความเป็นจริงอย่างสิ้นเชิง
เมื่อพิจารณาข้อเสียของบิทคอยน์แล้วนั้น จึงไม่ใช่เรื่องยากที่จะคาดการณ์ได้ว่า ในอนาคต ระบบการเงินแบบดั้งเดิมจะยังคงครองความเป็นใหญ่ในวงการการเงินโลกต่อไป ในขณะที่บิทคอยน์นั้น เป็นแค่เครื่องมือสร้างความมั่งคั่งให้กับคนเพียงกลุ่มน้อย ที่ได้เหรียญมาในราคาถูก ราคาของเหรียญที่เพิ่มขึ้นก็มาจากคนที่มาทีหลังเข้าไปซื้อในราคาที่แพงกว่า ไม่ได้งอกเงยขึ้นมาเองกลางอากาศ แต่ในส่วนนี้พวกที่เล่นบิทคอยน์ก็ชอบอ้างว่า ราคามันขึ้นเพราะเกิดจากการที่รัฐบาลพิมพ์เงิน มีปริมาณเงินมากขึ้นในระบบ แต่ตัวบิทคอยน์นั้นมีความต้องการเท่าเดิม ราคาที่เพิ่มขึ้นคือสิ่งที่สะท้อนเงินเฟ้อไม่ได้เกิดจากคนที่มาทีหลังเข้ามาซื้อด้วยราคาที่แพงกว่าหรือเกิดจากการเก็งกำไรแต่อย่างใด ไม่ใช่แชร์ลูกโซ่ จึงสะท้อนให้เห็นถึงความคิดที่เข้าข้างตัวเองได้เป็นอย่างดี
อย่าวางใจในบิทคอยน์
หมายเหตุ
ผมวิจารณ์บิทคอยน์ด้วยข้อมูลชัดๆ แต่มีคนมาด่าหยาบคาย/บิดเบือนข้อมูล วงการนี้ต้องมีความชั่วร้ายแฝงอยู่ (คนดีก็มี) พวกสมุนอาชญากรมาป่วนคงเป็นเพราะผมขวางไม่ให้เขาชักจูงแมงเม่าไปเล่นบิทคอยน์กันง่ายๆ อย่างไรก็ตามผมยืนหยัดในความถูกต้อง ไม่กลัวแปดเปื้อน
อ้างอิง
You must be logged in to post a comment Login