วันพฤหัสที่ 21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2567

วางผิดที่ไม่มีประโยชน์

On May 31, 2024

คอลัมน์ : สันติธรรม

ผู้เขียน : บรรจง บินกาซัน

(โลกวันนี้รายวัน ประจำวันที่  31 พ.ค.  67)

ในอดีต  เมื่อมนุษย์เพศชายและเพศหญิงจะอยู่กินกันฉันสามีภรรยา  ผู้ชายและผู้หญิงจะต้องทำพิธีแต่งงานทางศาสนาก่อน  การจดทะเบียนสมรสเพิ่งมามีขึ้นทีหลังเมื่อมนุษย์อยู่รวมกันเป็นรัฐที่มีเจ้าหน้าที่จดทะเบียนยืนยันการสมรสให้  เพราะการแต่งงานเป็นเกียรติที่พระเจ้าผู้สร้างมนุษย์มอบให้แก่มนุษย์เพื่อแยกมนุษย์ออกจากสัตว์

ในการสมรสตามแบบอิสลาม(หรือที่เรียกว่า “นิก๊ะฮฺ”)นั้น  ก่อนทำพิธีสมรส  นบีมุฮัมมัดจะให้โอวาทการใช้ชีวิตแก่คู่บ่าวสาวโดยหยิบยกข้อความบางตอนจากคัมภีร์กุรอานมาอ่านให้ฟัง และการปฏิบัติของท่านยังคงเป็นที่ปฏิบัติกันอยู่จนถึงปัจจุบัน  ข้อความดังกล่าวมีใจความดังนี้ :

“โอ้มนุษย์ทั้งหลาย  จงเกรงกลัวพระเจ้าผู้ทรงสร้างสูเจ้าจากชีวิตหนึ่ง และจากชีวิตนั้น พระองค์ได้สร้างคู่ครองให้ และจากคู่ครองนั้น พระองค์ได้แพร่กระจายชายหญิงจำนวนมากมายบนหน้าแผ่นดิน…” (กุรอาน 4:1)

เรื่องราวการสร้างอาดัมในคัมภีร์กุรอานบอกให้เรารู้ว่าก่อนพระเจ้าสร้างมนุษย์คนแรก  พระองค์ได้บอกวัตถุประสงค์การสร้างไว้ว่าพระองค์จะสร้าง “เคาะลีฟะฮฺ” ขึ้นมาบนหน้าแผ่นดิน  คำว่าเคาะลีฟะฮฺมีความหมายนัยหนึ่งว่า “ตัวแทน” และอีกนัยหนึ่งคือ “ประชากรรุ่นแล้วรุ่นเล่า”

ข้อความในโอวาทดังกล่าวข้างต้นบอกมนุษย์ทั้งหมดให้รู้ว่าพระเจ้าสร้างทุกสิ่งมาเป็นคู่เพื่อยืนยันว่าพระเจ้าเท่านั้นเป็นหนึ่งเดียว และที่พระเจ้าสร้างมนุษย์มาให้มีเพศชายและเพศหญิงก็เพื่อให้มนุษย์แพร่ขยายประชากรโลกโดยการแต่งงาน และพระองค์ได้เตรียมปัจจัยยังชีพไว้เรียบร้อยแล้วสำหรับมนุษย์หลายพันล้านคนที่จะเกิดขึ้นมา

การแต่งงานจึงเป็นการรับใช้ความประสงค์ของพระเจ้าและการเจตนาขัดขวางการแต่งงานถือเป็นการขัดความประสงค์ของพระองค์  ความสุขทางเพศจึงเป็นของขวัญที่พระเจ้ามอบให้แก่คู่บ่าวสาวหลังพิธีแต่งงานและลูกคือรางวัลตอบแทนที่จะตามมาในภายหลัง

การมีความสัมพันธ์ทางเพศระหว่างผู้ชายและผู้หญิงหลังผ่านพิธีแต่งงานทางศาสนาจึงเป็นที่อนุมัติ หากไม่ผ่านพิธีแต่งงานทางศาสนา  การไปจดทะเบียนสมรสอย่างเดียวจึงไม่ต่างไปจากการจดทะเบียนการผิดประเวณี

ถ้าการมีความสัมพันธ์ทางเพศระหว่างผู้ชายกับผู้หญิงโดยไม่ผ่านการแต่งงานทางศาสนาถือเป็นบาปใหญ่รองไปจากการฆ่า  การมีความสัมพันธ์ทางเพศกับเพศเดียวกันก็ถือเป็นบาปใหญ่เช่นกัน  คัมภีร์ไบเบิลและคัมภีร์กุรอานได้บอกเล่าเรื่องราวของชาวเมืองโซดอมและกอมโมราห์ให้เรารู้ว่าผู้ชายในสองเมืองนี้มีรสนิยมชมชอบการมีเพศสัมพันธ์กับผู้ชายด้วยกัน  อับราฮัมจึงส่งโลทไปตักเตือนผู้คนในสองเมืองนี้  แต่พวกผู้ชายที่นั่นแสดงท่าทีก้าวร้าวและจะทำร้ายท่าน  ในที่สุด พระเจ้าก็ทำลายผู้คนในสองเมืองนี้โดยการพลิกธรณีฝังกลบผู้คนทั้งสองเมืองนี้ไว้ใต้ธรณีทางใต้ของทะเลสาปเดดซี

ด้วยเหตุดังกล่าว  กฎหมายอิสลามจึงวางเงื่อนไขการแต่งงานไว้ประการหนึ่งว่าคู่สมรสนอกจากจะต้องมีความศรัทธาในพระเจ้าองค์เดียวกันแล้ว  ยังต้องเป็นเพศที่คู่กันด้วย นั่นคือ เจ้าบ่าวต้องเพศชายและเจ้าสาวต้องเป็นเพศหญิง  แม้ในปัจจุบัน  การทำศัลยกรรมที่ก้าวหน้าจะสามารถแปลงเพศและใบหน้าผู้ชายให้กลายเป็นผู้หญิงได้   หากอิมามผู้ทำพิธีแต่งงานรู้ อิมามจะไม่ทำพิธีแต่งงานให้ เพราะถ้าทำไป อิมามก็ต้องแบกบาปไว้ และถึงแม้อิมามทำพิธีแต่งงานให้โดยไม่รู้  การสมรสนั้นก็ไม่ถือว่าถูกต้อง


You must be logged in to post a comment Login