- ปีดับคนดังPosted 23 mins ago
- เรื่องยังไม่จบPosted 1 day ago
- ต้องช่วยผู้หญิงขึ้นจากขุมนรกPosted 2 days ago
- คนดีสยบทุกอย่างได้Posted 3 days ago
- จัดการได้ก็ทำเถอะPosted 6 days ago
- ชวนทำบุญครั้งสุดท้ายPosted 7 days ago
- อย่าไปซ้ำเติมPosted 1 week ago
- คงมีโอกาสดีได้นะPosted 1 week ago
- ช่วยสร้างบรรยากาศชื่นมื่นPosted 1 week ago
- หนีกรรมไม่พ้นPosted 2 weeks ago
วางผิดที่ไม่มีประโยชน์
คอลัมน์ : สันติธรรม
ผู้เขียน : บรรจง บินกาซัน
(โลกวันนี้รายวัน ประจำวันที่ 31 พ.ค. 67)
ในอดีต เมื่อมนุษย์เพศชายและเพศหญิงจะอยู่กินกันฉันสามีภรรยา ผู้ชายและผู้หญิงจะต้องทำพิธีแต่งงานทางศาสนาก่อน การจดทะเบียนสมรสเพิ่งมามีขึ้นทีหลังเมื่อมนุษย์อยู่รวมกันเป็นรัฐที่มีเจ้าหน้าที่จดทะเบียนยืนยันการสมรสให้ เพราะการแต่งงานเป็นเกียรติที่พระเจ้าผู้สร้างมนุษย์มอบให้แก่มนุษย์เพื่อแยกมนุษย์ออกจากสัตว์
ในการสมรสตามแบบอิสลาม(หรือที่เรียกว่า “นิก๊ะฮฺ”)นั้น ก่อนทำพิธีสมรส นบีมุฮัมมัดจะให้โอวาทการใช้ชีวิตแก่คู่บ่าวสาวโดยหยิบยกข้อความบางตอนจากคัมภีร์กุรอานมาอ่านให้ฟัง และการปฏิบัติของท่านยังคงเป็นที่ปฏิบัติกันอยู่จนถึงปัจจุบัน ข้อความดังกล่าวมีใจความดังนี้ :
“โอ้มนุษย์ทั้งหลาย จงเกรงกลัวพระเจ้าผู้ทรงสร้างสูเจ้าจากชีวิตหนึ่ง และจากชีวิตนั้น พระองค์ได้สร้างคู่ครองให้ และจากคู่ครองนั้น พระองค์ได้แพร่กระจายชายหญิงจำนวนมากมายบนหน้าแผ่นดิน…” (กุรอาน 4:1)
เรื่องราวการสร้างอาดัมในคัมภีร์กุรอานบอกให้เรารู้ว่าก่อนพระเจ้าสร้างมนุษย์คนแรก พระองค์ได้บอกวัตถุประสงค์การสร้างไว้ว่าพระองค์จะสร้าง “เคาะลีฟะฮฺ” ขึ้นมาบนหน้าแผ่นดิน คำว่าเคาะลีฟะฮฺมีความหมายนัยหนึ่งว่า “ตัวแทน” และอีกนัยหนึ่งคือ “ประชากรรุ่นแล้วรุ่นเล่า”
ข้อความในโอวาทดังกล่าวข้างต้นบอกมนุษย์ทั้งหมดให้รู้ว่าพระเจ้าสร้างทุกสิ่งมาเป็นคู่เพื่อยืนยันว่าพระเจ้าเท่านั้นเป็นหนึ่งเดียว และที่พระเจ้าสร้างมนุษย์มาให้มีเพศชายและเพศหญิงก็เพื่อให้มนุษย์แพร่ขยายประชากรโลกโดยการแต่งงาน และพระองค์ได้เตรียมปัจจัยยังชีพไว้เรียบร้อยแล้วสำหรับมนุษย์หลายพันล้านคนที่จะเกิดขึ้นมา
การแต่งงานจึงเป็นการรับใช้ความประสงค์ของพระเจ้าและการเจตนาขัดขวางการแต่งงานถือเป็นการขัดความประสงค์ของพระองค์ ความสุขทางเพศจึงเป็นของขวัญที่พระเจ้ามอบให้แก่คู่บ่าวสาวหลังพิธีแต่งงานและลูกคือรางวัลตอบแทนที่จะตามมาในภายหลัง
การมีความสัมพันธ์ทางเพศระหว่างผู้ชายและผู้หญิงหลังผ่านพิธีแต่งงานทางศาสนาจึงเป็นที่อนุมัติ หากไม่ผ่านพิธีแต่งงานทางศาสนา การไปจดทะเบียนสมรสอย่างเดียวจึงไม่ต่างไปจากการจดทะเบียนการผิดประเวณี
ถ้าการมีความสัมพันธ์ทางเพศระหว่างผู้ชายกับผู้หญิงโดยไม่ผ่านการแต่งงานทางศาสนาถือเป็นบาปใหญ่รองไปจากการฆ่า การมีความสัมพันธ์ทางเพศกับเพศเดียวกันก็ถือเป็นบาปใหญ่เช่นกัน คัมภีร์ไบเบิลและคัมภีร์กุรอานได้บอกเล่าเรื่องราวของชาวเมืองโซดอมและกอมโมราห์ให้เรารู้ว่าผู้ชายในสองเมืองนี้มีรสนิยมชมชอบการมีเพศสัมพันธ์กับผู้ชายด้วยกัน อับราฮัมจึงส่งโลทไปตักเตือนผู้คนในสองเมืองนี้ แต่พวกผู้ชายที่นั่นแสดงท่าทีก้าวร้าวและจะทำร้ายท่าน ในที่สุด พระเจ้าก็ทำลายผู้คนในสองเมืองนี้โดยการพลิกธรณีฝังกลบผู้คนทั้งสองเมืองนี้ไว้ใต้ธรณีทางใต้ของทะเลสาปเดดซี
ด้วยเหตุดังกล่าว กฎหมายอิสลามจึงวางเงื่อนไขการแต่งงานไว้ประการหนึ่งว่าคู่สมรสนอกจากจะต้องมีความศรัทธาในพระเจ้าองค์เดียวกันแล้ว ยังต้องเป็นเพศที่คู่กันด้วย นั่นคือ เจ้าบ่าวต้องเพศชายและเจ้าสาวต้องเป็นเพศหญิง แม้ในปัจจุบัน การทำศัลยกรรมที่ก้าวหน้าจะสามารถแปลงเพศและใบหน้าผู้ชายให้กลายเป็นผู้หญิงได้ หากอิมามผู้ทำพิธีแต่งงานรู้ อิมามจะไม่ทำพิธีแต่งงานให้ เพราะถ้าทำไป อิมามก็ต้องแบกบาปไว้ และถึงแม้อิมามทำพิธีแต่งงานให้โดยไม่รู้ การสมรสนั้นก็ไม่ถือว่าถูกต้อง
You must be logged in to post a comment Login