วันพฤหัสที่ 21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2567

พิธีฮัจญ์ก่อนหน้าอิสลาม

On June 14, 2024

คอลัมน์ : สันติธรรม

ผู้เขียน : บรรจง บินกาซัน

(โลกวันนี้รายวัน ประจำวันที่  14 มิ.ย.  67)

พิธีฮัจญ์ครั้งแรกเริ่มต้นขึ้นเมื่อประมาณสี่พันปีที่แล้วในเมืองมักก๊ะฮฺโดยอับราฮัมได้ถูกพระเจ้าบัญชาให้สร้างก๊ะอฺบ๊ะฮฺขึ้นเพื่อใช้เป็นสถานที่สำหรับผู้ศรัทธาในพระเจ้าองค์เดียวมาแสดงความเคารพสักการะพระองค์ที่นั่น และพระเจ้าได้สอนวิธีการทำฮัจญ์และการละหมาดให้แก่อับราฮัม

การทำพิธีฮัจญ์ถูกสืบทอดต่อมาโดยอิสมาอีลผู้เป็นบุตรชาย  แต่หลังจากทั้งสองพ่อลูกจากโลกนี้ไป  การปฏิบัติพิธีฮัจญ์ของชาวอาหรับได้ผิดเพี้ยนไปจากเดิม  ก๊ะอฺบ๊ะฮฺที่เคยเป็นสถานที่แสดงความเคารพสักการะพระเจ้าองค์เดียวได้ถูกชาวอาหรับเผ่าต่างๆนำรูปเจว็ดบูชาสารพัดรูปร่างและขนาดจำนวน 360 รูปมาตั้งเรียงรายรอบก๊ะอฺบ๊ะฮฺและกราบไหว้เจว็ดบูชาเหล่านั้นแทนการเคารพสักการะพระเจ้าองค์เดียว

เมื่อหลงลืมพระเจ้าที่แท้จริงและพิธีกรรมที่อับราฮัมได้แสดงไว้  อุตริกรรมต่างๆก็เกิดขึ้นในพิธีฮัจญ์และเป็นที่ปฏิบัติสืบทอดต่อกันมานานนับพันปี  จนกระทั่งนบีมุฮัมมัดได้มาเปลี่ยนแปลงแก้ไขให้เป็นไปตามประสงค์ของพระเจ้าและท่านได้แสดงแบบอย่างให้ผู้ศรัทธาในพระเจ้าปฏิบัติสืบมาจนถึงวันนี้

ก่อนหน้าอิสลาม  เมื่อชาวเมืองยัษริบกลับมาจากการทำฮัจญ์  พวกเขาจะไม่เข้าบ้านทางประตูหน้า  แต่จะปีนเข้าไปในบ้านจากทางด้านหลังและถือว่าการทำเช่นนี้เป็นกุศลกรรม     นบีมุฮัมมัดได้มายกเลิกความเชื่อเช่นนี้

พิธีกรรมสำคัญในการทำฮัจญ์คือการเวียนรอบก๊ะอฺบ๊ะฮฺ  ก่อนหน้าอิสลาม ชาวอาหรับบางเผ่าจะเวียนรอบก๊ะอฺบ๊ะฮฺโดยการเปลือยกาย บางเผ่าเวียนรอบโดยการผิวปากหรือไม่ก็ปรบมือ  นบีมุฮัมมัดได้ยกเลิกการกระทำเช่นนี้ และสั่งมุสลิมให้เวียนรอบก๊ะอฺบ๊ะฮฺด้วยความสำรวมตนและประกาศความยิ่งใหญ่ของพระเจ้า

อีกพิธีกรรมหนึ่งในการทำฮัจญ์ก่อนสมัยอิสลามคือการเชือดสัตว์พลีเพื่อพระเจ้า  ชาวอาหรับที่เดินทางมาทำพิธีฮัจญ์จะนำเอาปศุสัตว์เช่น แพะ แกะหรืออูฐมาเชือดพลีด้วย  ระหว่างทาง  อูฐตัวใดที่ชาวอาหรับนำมาเชือดพลีจะถูกถือว่าเป็นสัตว์ศักดิ์สิทธิ์และจะไม่ขึ้นขี่หลังของมัน  แต่เมื่อนบีมุฮัมมัดเห็นเช่นนั้น  ท่านจึงสั่งให้เจ้าของอูฐขึ้นขี่ในฐานะเป็นสัตว์พาหนะ เพราะสัตว์ไม่ใช่สิ่งศักดิ์สิทธิ์

การเชือดสัตว์พลีของชาวอาหรับก่อนหน้าอิสลามมีเจตนาที่จะโอ้อวดถึงความมั่งคั่งและความใจบุญของตน  ดังนั้น  ชาวอาหรับผู้มั่งคั่งจะเชือดปศุสัตว์หลายตัวและให้คนยากจนมาเอาเนื้อไปกินเพื่อหวังการยกย่องเยินยอจากผู้คน  นอกจากนี้แล้ว เลือดของอูฐที่ถูกเชือดพลีจะถูกสาดไปบนกำแพงก๊ะอฺบ๊ะฮฺโดยหวังว่าการทำเช่นนั้นจะทำให้พวกเขาใกล้ชิดพระเจ้า  แต่เมื่อนบีมุฮัมมัดมาเผยแผ่อิสลาม  ท่านได้ห้ามกระทำเช่นนั้นโดยกล่าวว่าพระเจ้าไม่ได้ต้องการเลือดและเนื้อของสัตว์  แต่สิ่งที่พระองค์ต้องการคืความเสียสละด้วยความยำเกรงพระองค์

ชาวเมืองเยเมนมีธรรมเนียมไม่นำเสบียงติดตัวไประหว่างเดินทางไปทำฮัจญ์  คนเหล่านี้กล่าวว่าพระเจ้าจะเป็นผู้จัดเตรียมอาหารให้พวกเขา  ผลก็คือเมื่อไปถึงมักก๊ะฮฺ  คนพวกนี้ต้องไปเที่ยวขอคนอื่นเพื่อการประทังชีพ  ดังนั้น พระเจ้าจึงมีบัญชาให้ผู้ทำฮัจญ์เตรียมเสบียงมาด้วย

ในยุคอวิชชาก่อนหน้าอิสลาม  ฮัจญ์มีวัตถุประสงค์ทางศาสนาน้อยมากเพราะการทำฮัจญ์ในตอนนั้นอยู่ในรูปของการจัดงานขายสินค้าขนาดใหญ่ที่ผู้คนทุกสาขาอาชีพมาชุมนุมกัน  สภาพเช่นนี้จึงมีแต่เสียงอึกทึกของการต่อรองราคา ความโกลาหลอลหม่าน การเบียดเสียดยัดเยียด  การทะเลาะวิวาท  การต่อสู้และผู้หญิงถูกลวนลาม  พูดง่ายๆก็คือพฤติกรรมเลวทรามและความชั่วร้ายสารพัดเกิดขึ้นในโอกาสนี้ทุกปี  อิสลามได้มาหยุดยั้งสิ่งเหล่านี้ทั้งหมดและเปลี่ยนสภาพการทำฮัจญ์ให้อยู่ในรูปของคุณธรรม  ความสังวรตนและการระลึกถึงพระเจ้า  คัมภีร์กุรอานกล่าวว่า :

“ใครก็ตามที่ตั้งใจจะทำพิธีฮัจญ์ในเดือนที่กำหนดไว้จะต้องละเว้นโดยสิ้นเชิงจากการพูดจาที่น่ารังเกียจ จากความชั่วช้าเลวทรามและการวิวาทระหว่างการทำฮัจญ์ และจงจำไว้ว่าพระเจ้าทรงรู้ถึงความดีอะไรก็ตามที่สูเจ้ากระทำ” (กุรอาน 2:197)


You must be logged in to post a comment Login