วันเสาร์ที่ 23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2567

ย้อนเวลาไปเรียนประวัติศาสตร์ในพิธีฮัจญ์

On June 21, 2024

คอลัมน์ : สันติธรรม

ผู้เขียน : บรรจง บินกาซัน

(โลกวันนี้รายวัน ประจำวันที่  21 มิ.ย.  67)

พีธีฮัจญ์ของมุสลิมในปีนี้เริ่มขึ้นในวันที่ 14 มิถุนายน 2567  ณ เมืองมักก๊ะฮฺ ประเทศซาอุดิอาระเบีย  ถึงแม้จะเป็นศาสนพิธีอันเก่าแก่กว่าสามพันปี  แต่เนื่องจากเป็นข้อบังคับสำหรับมุสลิมที่สุขภาพดีมีเงินเพียงพอต้องไปปฏิบัติครั้งหนึ่งในชีวิต   จำนวนผู้ไปทำฮัจญ์จึงมากขึ้นทุกปีตามการขยายตัวของประชากรมุสลิม  ในช่วงสองทศวรรษที่ผ่านมา  ในแต่ละปีมีมุสลิมทุกชนชาติจากทั่วโลกไม่ต่ำกว่าสองล้านคนเดินทางไปทำฮัจญ์ ยกเว้นช่วงที่มีการแพร่ระบาดของโรคโควิด 19

ฮัจญ์โดยภาษาหมายถึง “การมีเจตนาที่จะไปยังที่แห่งหนึ่ง” เพื่อปฏิบัติศาสนกิจตามรูปแบบ ในเวลาและสถานที่ที่ได้ถูกกำหนดไว้

หากใครมองพิธีฮัจญ์จากการปฏิบัติและเรียนรู้ประวัติศาสตร์ของอับราฮัมผู้ถูกพระเจ้าบัญชาให้สร้างก๊ะอฺบ๊ะฮฺ  เราจะรู้ได้ทันทีว่าการไปทำฮัจญ์คือการเรียนรู้และการรักษาวีรกรรมแห่งความศรัทธาในพระเจ้าของบุคคลสำคัญในครอบครัวหนึ่งไว้ในจิตวิญญาณ  นั่นคือ ครอบครัวของอับราฮัมที่ประกอบด้วยนางฮาการ์ภรรยาและอิสมาอีลบุตรชาย

อับราฮัมถูกพระเจ้าบัญชาให้สร้างก๊ะอฺบ๊ะฮฺเพื่อเป็นสถานที่สำหรับเคารพสักการะพระเจ้าองค์เดียว   เมื่อสร้างเสร็จแล้ว พระเจ้าได้บอกวิธีการเวียนรอบก๊ะอฺบ๊ะฮฺและการละหมาดให้ท่าน  แต่หลังจากอับราฮัมและอิสมาอีลจากโลกนี้ไป   ผู้คนได้เพิกเฉยและหลงลืมพิธีกรรมดังกล่าวจนถึงขนาดนำรูปเจว็ดมากราบไหว้บูชานานนับพันปี  นบีมุฮัมมัดจึงถูกส่งมาเพื่อรื้อฟื้นการทำฮัจญ์และการละหมาดที่ถูกต้องตามประสงค์ของพระเจ้าให้ผู้ศรัทธาปฏิบัติสืบไปจนถึงวันสิ้นโลก

อับราฮัมเป็นผู้มีใจศรัทธาในพระเจ้าองค์เดียวอย่างมั่นคงและเชื่อฟังพระองค์ในทุกกรณีโดยไม่อิดเอื้อน  ท่านจึงได้ฉายาจากพระเจ้าว่า “เคาะลีลุลลอฮฺ” (สหายสนิทของพระเจ้า)

โดยคำบัญชาของพระองค์  อับราฮัมได้พานางนางฮาการ์และอิสมาอีลเดินทางจากอียิปต์ไปยังหุบเขาบักก๊ะฮฺและทิ้งภรรยากับลูกน้อยไว้ที่นั่นให้เผชิญชีวิตอยู่ตามลำพัง

ผู้หญิงคนใดถูกสามีทอดทิ้งในลักษณะเช่นนี้  คงสาปแช่งสามีของตัวเองตราบที่ยังมีลมหายใจ  แต่เมื่อนางรู้จากอับราฮัมว่าสิ่งที่สามีของนางทำไปเป็นเพราะคำบัญชาของพระเจ้า  นางจึงไม่สะทกสะท้านเพราะนางเชื่อมั่นศรัทธาว่าหากพระเจ้าประสงค์เช่นนั้น พระองค์จะคุ้มครองและดูแลนางกับลูกน้อย  แต่ถึงจะเชื่อมั่นเช่นนั้น นางก็ไม่นั่งนิ่งรอความช่วยเหลือจากพระเจ้า  นางวิ่งเหยาะๆไปมาจากเนินเขาเศาะฟาและมัรฺวะฮฺเจ็ดเที่ยวเพื่อมองหาความช่วยเหลือ  ในที่สุด พระเจ้าก็ประทานน้ำซัมซัมให้แก่นางเป็นของขวัญแห่งความเชื่อมั่นศรัทธา  บ่อน้ำซัมซัมยังมีน้ำให้ผู้ไปทำฮัจญ์ดื่มกินตั้งแต่นั้นจนถึงทุกวันนี้

ดังนั้น  การเดินอย่างรีบเร่งไปมาระหว่างเนินเขาเศาะฟาและมัรฺวะฮฺจึงเป็นส่วนหนึ่งของพิธีฮัจญ์เพื่อระลึกถึงความเชื่อมั่นศรัทธาและไว้วางใจในพระเจ้าของนางฮาการ์

เมื่ออับราฮัมกลับไปเยือนครอบครัวของเขาในหุบเขาบักก๊ะฮฺอีกครั้งหนึ่ง  อับราฮัมถูกทดสอบความศรัทธาครั้งใหญ่ที่สุดที่ไม่มีมนุษย์คนใดถูกทดสอบ นั่นคือ พระเจ้าได้บัญชาให้ท่านเชือดอิสมาอีลเป็นการพลีถวายให้พระองค์  นี่เป็นจุดสูงสุดของวีรกรรมแห่งความศรัทธาของสองพ่อลูก  มีพ่อคนใดบ้างที่กล้าเชือดลูกของตัวเองในเมื่อสัญชาติญาณแห่งการปกป้องคุ้มครองลูกในตัวมนุษย์สูงถึงขั้นยอมสละชีวิตเพื่อลูกได้ ในขณะเดียวกัน  มีลูกคนใดบ้างที่จะยอมให้พ่อเชือดตัวเองโดยรู้ว่าพ่อพาแม่และตัวเองมาทิ้งไว้โดยไม่ได้เลี้ยงดู

แต่ด้วยความศรัทธาในพระเจ้าสุดก้นบึ้งหัวใจ   อิสมาอีลกลับบอกอับราฮัมพ่อของตนว่า “หากเป็นประสงค์ของพระเจ้า  พ่อจงทำตามคำบัญชาเถิด แล้วพ่อจะพบว่าฉันเป็นผู้อดทน”  นี่คือจุดสุดยอดแห่งความศรัทธาของสองพ่อลูกที่ไม่มีมนุษย์คนใดทำได้

เมื่ออับราฮัมเงื้อมีดจะเชือดลูกชายตามคำบัญชาของพระเจ้า  พระองค์จึงสั่งให้อับราฮัมนำแกะมาเชือดแทนอิสมาอีล  นับแต่นั้นมา  การเชือดพลีปศุสัตว์จึงเป็นส่วนหนึ่งของพิธีฮัจญ์และผู้ที่ไม่มีโอกาสได้ไปทำฮัจญ์ก็สามารถระลึกถึงวีรกรรมแห่งความศรัทธาของสองพ่อลูกได้โดยการเชือดสัตว์พลีและแจกจ่ายเนื้อสัตว์ที่เชือดให้แก่คนยากจน


You must be logged in to post a comment Login