วันศุกร์ที่ 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2567

โลกหลังความตาย

On July 19, 2024

คอลัมน์ : สันติธรรม

ผู้เขียน : บรรจง บินกาซัน

(โลกวันนี้รายวัน ประจำวันที่  19 ก.ค.  67)

โลกหลังความตายเป็นความจริงและเป็นหลักคำสอนสำคัญที่มีอยู่ในทุกศาสนา โลกหลังความตายถูกเรียกด้วยคำพูดอื่นๆอีก เช่น นรกและสวรรค์  วันแห่งการพิพากษา เป็นต้น  ศาสนิกบางคนพยายามจำลองภาพนรกให้เห็นว่าเป็นภพแห่งการลงโทษทรมานที่น่าสะพรึงกลัวเพื่อข่มขู่มนุษย์มิให้ทำความชั่ว  แต่ถึงกระนั้น  ภาพจำลองนรกก็ไม่สารมารถยับยั้งมนุษย์ให้ทำชั่วได้ถ้ามนุษย์ไม่เชื่อว่านรกมีจริง

บางคนที่ไม่เชื่อในเรื่องการมีอยู่ของนรกและสวรรค์ใช้คำพูดว่า “สวรรค์อยู่ในอก นรกอยู่ในใจ” เพื่อบอกว่าเมื่อทำความดีก็มีความสุขเป็นสวรรค์ เมื่อทำความชั่วก็เป็นทุกข์ทุรนทุรายอยู่ในใจ  การตอบแทนความดีและการลงโทษความชั่วหลังความตายไม่มี

ความจริงแล้ว  โลกหลังความตายไม่ได้มีแค่เพียงนรกและสวรรค์เท่านั้น  นรกและสวรรค์เป็นที่พักสุดท้ายของวิญญาณที่เป็นตัวบงการพฤติกรรมของมนุษย์ในโลกนี้  แต่ก่อนจะไปถึงนรกและสวรรค์  มนุษย์ยังต้องผ่านขั้นตอนต่างๆกว่าจะไปถึง  ไม่ต่างจากการขึ้นเครื่องบินสู่ท้องฟ้าซึ่งผู้เดินทางต้องถูกตรวจพาสปอร์ต ตั๋วเครื่องบิน  การตรวจค้นตัวและการเอ๊กซ์เรย์กระเป๋าเดินทาง

ดังนั้น ก่อนจะไปยังนรกหรือสวรรค์  อิสลามจึงมีคำสอนว่ามนุษย์จะพบกับการสอบสวนตั้งแต่ในหลุมฝังศพ  การรอคอยวันสิ้นโลกเพื่อฟื้นคืนชีพอีกครั้งหนึ่ง  การปรากฏตัวต่อหน้าพระเจ้าเพื่อรับการพิพากษาและการตอบแทนสำหรับสิ่งที่ตัวเองได้ทำไว้ขณะมีชีวิตอยู่ในโลก

นรกและสวรรค์จึงจำเป็นต้องมีและเป็นความจริงที่ผู้ศรัทธาในพระเจ้าเชื่อมั่นไม่สั่นคลอน เพราะพระเจ้าทรงยุติธรรม  ถ้าไม่มีนรกและสวรรค์  มนุษย์จะไม่ได้รับความยุติธรรมเลยเพราะโลกใบนี้ไม่มีความยุติธรรมที่แท้จริง  คนทำความดีมากมายหลายคนยังไม่ได้รับการตอบแทนความดีและบางคนได้รับการตอบแทนไม่สมกับความดีที่ได้ทำไป  ในทางตรงข้าม  คนทำชั่วมากมายรอดพ้นการลงโทษทางกฎหมายเพราะใช้อิทธิพล  บางคนถูกจับได้ แต่ยังไม่ทันถูกลงโทษก็ตายเสียก่อน  การลงโทษฆาตกรฆ่ายกครัวด้วยการจำคุกตลอดชีวิตหรือประหารชีวิตก็ทำได้เพียงชีวิตเดียวเท่านั้น

ด้วยเหตุนี้  คำสอนของทุกศาสนาจึงสอนมนุษย์ให้รู้ความจริงว่าชีวิตไม่ได้จบลงตรงความตาย แต่ความตายเป็นเพียงการคลอดอีกครั้งหนึ่ง  แต่เป็นการคลอดทางด้านจิตวิญญาณ  ไม่ต่างจากมนุษย์คลอดออกมาจากครรภ์แม่  จะแตกต่างกันก็ตรงที่มนุษย์คลอดออกจากครรภ์แม่มายังโลกนี้โดยมีทั้งร่างกายและวิญญาณมาด้วยกัน   แต่การตายเป็นการคลอดจากโลกนี้ไปสู่โลกหน้า  แต่เป็นการคลอดทางด้านวิญญาณอย่างเดียว  ร่างกายจะถูกทิ้งไว้ในโลกนี้ไม่ต่างจากรกมนุษย์แรกคลอด

หลุมฝังศพเป็นเพียงประตูที่วิญญาณมนุษย์เริ่มต้นออกเดินทางไปยังโลกหน้าซึ่งเป็นโลกที่มนุษย์ไม่มีความรู้อะไรเลย  แต่พระเจ้าผู้สร้างนรกและสวรรค์ได้บอกให้มนุษย์ให้ใช้สติปัญญาแค่น้อยนิดก็คิดได้ว่าสวรรค์เป็นภพแห่งการตอบแทนที่มนุษย์ไม่ต้องทำงาน พระเจ้าได้ให้มนุษย์ทุกคนผ่านภพแห่งความสุขสบายนี้มาแล้วตอนมนุษย์เป็นทารกในครรภ์แม่ ถ้าในตอนนั้น ทารกมนุษย์ในครรภ์เห็นสิ่งสวยงามและอาหารการกินมากมาย  ทารกมนุษย์ก็คงอยากออกจากครรภ์แม่มาสู่โลกนี้ก่อนกำหนด

แต่โลกอันแสนสบายในครรภ์ไม่ใช่โลกถาวร  ไม่เกินเก้าเดือน  ทารกมนุษย์ก็ต้องคลอดออกมาสู่โลกนี้ซึ่งเป็นโลกชั่วคราวที่มีรูปรสกลิ่นสีมากมายกว่าในครรภ์แม่  แต่กว่าจะได้สิ่งต่างๆมา  มนุษย์ต้องทำงานหนัก  ตอนอยู่ในโลกนี้  พระเจ้าได้เตือนมนุษย์ถึงความตายและการฟื้นคืนชีพหลังความตายทุกคืนในรูปของการนอนหลับ  ถ้าใครตื่นขึ้นมาในตอนเช้า  นั่นก็หมายความว่า พระเจ้าได้ให้เขาฟื้นคืนชีพขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง

ชีวิต ความตายและการฟื้นคืนชีพเป็นความจริงง่ายๆที่มนุษย์สามารถคิดได้  มันเป็นเรื่องของวิญญาณที่พระเจ้าให้เรามาเพื่อมีชีวิต และเมื่อถืงเวลา  พระเจ้าก็จะเอาวิญญาณกลับไปในรูปของความตาย  ในขณะที่มีชีวิต วิญญาณนั่นเองที่เป็นตัวบงการมนุษย์ให้ทำสิ่งต่างๆ  ดังนั้น วิญญาณจึงต้องรับผิดชอบและถูกสอบสวนเพื่อรับการตอบแทนด้วยนรกหรือสวรรค์ตามที่มันได้ทำไว้


You must be logged in to post a comment Login