วันพฤหัสที่ 21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2567

โลกในหลุมฝังศพ

On July 26, 2024

คอลัมน์ : สันติธรรม

ผู้เขียน : บรรจง บินกาซัน

(โลกวันนี้รายวัน ประจำวันที่  26  ก.ค.  67)

สองร้อยปีก่อนหน้านี้  ไม่มีมนุษย์คนใดเคยรู้หรือเห็นวิวัฒนาการของทารกมนุษย์ในครรภ์แม้วิทยาศาสตร์เริ่มมีความเจริญก้าวหน้าแล้ว  แต่ประมาณ 1,400 ปีก่อนหน้านี้  นบีมุฮัมมัดผู้เกิดในทะเลทรายและไม่รู้หนังสือได้นำวจนะตอนหนึ่งซึ่งมีอยู่ในคัมภีร์กุรอานมาบอกชาวอาหรับในยุคอวิชชาดังนี้

“แล้วเรา(พระเจ้า)ได้ทำให้เขาเป็นเชื้ออสุจิในที่พักอันมั่นคง (มดลูก) แล้วเราได้ทำให้อสุจิเป็นก้อนเลือด ก้อนเนื้อ แล้วทำก้อนเนื้อให้เป็นกระดูก  แล้วหุ้มกระดูกนั้นด้วยเนื้อ แล้วเราได้เป่าวิญญาณให้เขากลายเป็นอีกรูปร่างหนึ่ง” (กุรอาน 23:14)

เมื่อวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีมีความเจริญก้าวหน้าจนสร้างเครื่องเอ๊กซ์เรย์ขึ้นมาใน ค.ศ.1895 และตามมาด้วยการสร้างเครื่องอุลตราซาวด์ใน ค.ศ.1956  มนุษย์จึงได้รู้ว่าข้อความในคัมภีร์กุรอานดังกล่าวข้างต้นเป็นความจริงที่นักวิทยาศาสตร์ไม่อาจปฏิเสธได้

อย่างไรก็ตาม  ข้อความที่พูดถึงเรื่องวิวัฒนาการของมนุษย์ในครรภ์นั้น   คัมภีร์กุรอานมิได้ประสงค์ที่จะแสดงตัวเองว่าเป็นตำราทางวิทยาศาสตร์แต่ประการใด  แต่ข้อความดังกล่าวต้องการจะบอกว่า ประการแรก คัมภีร์กุรอานแต่ละวรรคตอนเป็น “อายะฮฺ” (สัญญาณ, หลักฐาน, สิ่งมหัศจรรย์)ที่ยืนยันการมีอยู่ของพระเจ้าผู้ทรงสร้าง  ผู้ให้ชีวิตและผู้เอาชีวิตของมนุษย์แต่เพียงพระองค์เดียว

ประการที่สอง  พระเจ้าต้องการบอกว่าครรภ์มารดาเป็นโลกที่มนุษย์เคยอยู่และต้องอยู่มาก่อนที่มนุษย์จะมายังโลกนี้  เป็นโลกที่มนุษย์ทุกคนมีเวลาจำกัดอยู่ประมาณเก้าเดือนและต้องออกมาสู่โลกใบนี้ซึ่งเป็นโลกชั่วคราวที่มนุษย์แต่ละคนมีระยะเวลาไม่เท่ากัน  แต่โลกชั่วคราวใบนี้มีอะไรที่มากมายกว่าโลกในครรภ์มารดา

อย่างไรก็ตาม  เมื่อมนุษย์คลอดจากโลกแห่งครรภ์มารดามาอยู่ในโลกชั่วคราวใบนี้แล้ว  ทุกชีวิตก็ต้องเป็นไปตามกฎของการเกิด แก่ เจ็บ ตายอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้  แต่ความตายยังไม่ใช่จุดสิ้นสุดของชีวิต  ความตายไม่ต่างอะไรจากการคลอดออกจากครรภ์มารดา  แต่เป็นการคลอดจากโลกนี้ไปสู่โลกแห่งสุสานหรือหลุมฝังศพซึ่งเป็นโลกที่มนุษย์จะไปรอเพื่อถูกเรียกไปสู่โลกนิรันดรหลังวันสิ้นโลกพร้อมๆกัน

มนุษย์ในครรภ์มารดาไม่ต้องรับผิดชอบการกระทำของตัวเองเพราะสมองยังไม่มีปัญญาที่สามารถคิดได้  แต่เมื่อคลอดมายังโลกนี้แล้ว  มนุษย์มีสติปัญญาและความรู้มากพอ  ดังนั้น  มนุษย์จึงต้องรับผิดชอบในสิ่งที่ตัวเองทำไปจากความคิดและความเชื่อของตัวเอง

โลกในหลุมฝังศพเป็นโลกที่คั่นกลางระหว่างโลกนี้และโลกหน้า หมายความว่าโลกแห่งหลุมฝังศพมิใช่โลกสุดท้าย  แต่เป็นโลกชั่วคราวที่วิญญาณซึ่งเป็นชีวิตที่แท้จริงของมนุษย์จะไปรอคอยวันสิ้นโลก  วันนั้น  มนุษย์จะถูกทำให้ฟื้นคืนชีพเพื่อไปสู่โลกที่แท้จริง  ดังนั้น วิญญาณของมนุษย์จะไม่กลับมายังโลกนี้อีก

คำสอนของอิสลามได้ให้ข้อมูลว่าเมื่อการฝังศพเสร็จสิ้นลงและทุกคนที่มาร่วมงานฝังศพกลับบ้านกันหมดแล้ว  ทูตสวรรค์สององค์จะมาสอบสวนวิญญาณผู้ตายในเรื่องความศรัทธาและการลงโทษในหลุมฝังศพมีจริง  นบีมุฮัมมัดกล่าวว่า “ถ้าฉันไม่กลัวว่าพวกท่านจะไม่มาฝังศพคนตาย  ฉันจะวิงวอนขอต่อพระเจ้าให้พวกท่านได้ยินการลงโทษในสุสานเหมือนที่ฉันได้ยิน”

ปัจจุบัน  ด้วยความเจริญก้าวหน้าทางด้านวิทยาศาสตร์  มนุษย์มีเรดาร์ที่สามารถระบุแหล่งฝูงปลาในท้องทะเล  มีดาวเทียมติดกล้องโทรทัศน์ที่สามารถระบุแหล่งทรัพยากรหรืออารยธรรมที่ถูกฝังกลบอยู่ใต้ผืนดินได้  แต่มนุษย์ยังไม่มีเทคโนโลยีที่สามารถถ่ายภาพความเป็นไปของโลกในหลุมฝังศพให้เห็นได้เหมือนเครื่องอุลตราซาวด์ที่ถ่ายให้เราเห็นความเป็นไปของชีวิตทารกในโลกแห่งครรภ์มารดา

ประการที่สาม  ข้อความจากคัมภีร์กุรอานเกี่ยวกับวิวัฒนาการของทารกในครรภ์มารดาต้องการจะบอกมนุษย์ยุคใหล้วันโลกาอวสานว่าถ้ามนุษย์มีความเจริญก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ แต่กลับไม่เชื่อในเรื่องชีวิตในโลกหลังความตาย  มนุษย์คนนั้นก็ไม่ต่างอะไรไปจากทารกในครรภ์ที่ตาเนื้อยังมองไม่เห็นและสมองยังไม่มีวิวัฒนากรพอที่จะรับรู้เรื่องโลกนอกครรภ์มารดา


You must be logged in to post a comment Login