- ปีดับคนดังPosted 23 mins ago
- เรื่องยังไม่จบPosted 1 day ago
- ต้องช่วยผู้หญิงขึ้นจากขุมนรกPosted 2 days ago
- คนดีสยบทุกอย่างได้Posted 3 days ago
- จัดการได้ก็ทำเถอะPosted 6 days ago
- ชวนทำบุญครั้งสุดท้ายPosted 7 days ago
- อย่าไปซ้ำเติมPosted 1 week ago
- คงมีโอกาสดีได้นะPosted 1 week ago
- ช่วยสร้างบรรยากาศชื่นมื่นPosted 1 week ago
- หนีกรรมไม่พ้นPosted 2 weeks ago
โลกในหลุมฝังศพ
คอลัมน์ : สันติธรรม
ผู้เขียน : บรรจง บินกาซัน
(โลกวันนี้รายวัน ประจำวันที่ 26 ก.ค. 67)
สองร้อยปีก่อนหน้านี้ ไม่มีมนุษย์คนใดเคยรู้หรือเห็นวิวัฒนาการของทารกมนุษย์ในครรภ์แม้วิทยาศาสตร์เริ่มมีความเจริญก้าวหน้าแล้ว แต่ประมาณ 1,400 ปีก่อนหน้านี้ นบีมุฮัมมัดผู้เกิดในทะเลทรายและไม่รู้หนังสือได้นำวจนะตอนหนึ่งซึ่งมีอยู่ในคัมภีร์กุรอานมาบอกชาวอาหรับในยุคอวิชชาดังนี้
“แล้วเรา(พระเจ้า)ได้ทำให้เขาเป็นเชื้ออสุจิในที่พักอันมั่นคง (มดลูก) แล้วเราได้ทำให้อสุจิเป็นก้อนเลือด ก้อนเนื้อ แล้วทำก้อนเนื้อให้เป็นกระดูก แล้วหุ้มกระดูกนั้นด้วยเนื้อ แล้วเราได้เป่าวิญญาณให้เขากลายเป็นอีกรูปร่างหนึ่ง” (กุรอาน 23:14)
เมื่อวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีมีความเจริญก้าวหน้าจนสร้างเครื่องเอ๊กซ์เรย์ขึ้นมาใน ค.ศ.1895 และตามมาด้วยการสร้างเครื่องอุลตราซาวด์ใน ค.ศ.1956 มนุษย์จึงได้รู้ว่าข้อความในคัมภีร์กุรอานดังกล่าวข้างต้นเป็นความจริงที่นักวิทยาศาสตร์ไม่อาจปฏิเสธได้
อย่างไรก็ตาม ข้อความที่พูดถึงเรื่องวิวัฒนาการของมนุษย์ในครรภ์นั้น คัมภีร์กุรอานมิได้ประสงค์ที่จะแสดงตัวเองว่าเป็นตำราทางวิทยาศาสตร์แต่ประการใด แต่ข้อความดังกล่าวต้องการจะบอกว่า ประการแรก คัมภีร์กุรอานแต่ละวรรคตอนเป็น “อายะฮฺ” (สัญญาณ, หลักฐาน, สิ่งมหัศจรรย์)ที่ยืนยันการมีอยู่ของพระเจ้าผู้ทรงสร้าง ผู้ให้ชีวิตและผู้เอาชีวิตของมนุษย์แต่เพียงพระองค์เดียว
ประการที่สอง พระเจ้าต้องการบอกว่าครรภ์มารดาเป็นโลกที่มนุษย์เคยอยู่และต้องอยู่มาก่อนที่มนุษย์จะมายังโลกนี้ เป็นโลกที่มนุษย์ทุกคนมีเวลาจำกัดอยู่ประมาณเก้าเดือนและต้องออกมาสู่โลกใบนี้ซึ่งเป็นโลกชั่วคราวที่มนุษย์แต่ละคนมีระยะเวลาไม่เท่ากัน แต่โลกชั่วคราวใบนี้มีอะไรที่มากมายกว่าโลกในครรภ์มารดา
อย่างไรก็ตาม เมื่อมนุษย์คลอดจากโลกแห่งครรภ์มารดามาอยู่ในโลกชั่วคราวใบนี้แล้ว ทุกชีวิตก็ต้องเป็นไปตามกฎของการเกิด แก่ เจ็บ ตายอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่ความตายยังไม่ใช่จุดสิ้นสุดของชีวิต ความตายไม่ต่างอะไรจากการคลอดออกจากครรภ์มารดา แต่เป็นการคลอดจากโลกนี้ไปสู่โลกแห่งสุสานหรือหลุมฝังศพซึ่งเป็นโลกที่มนุษย์จะไปรอเพื่อถูกเรียกไปสู่โลกนิรันดรหลังวันสิ้นโลกพร้อมๆกัน
มนุษย์ในครรภ์มารดาไม่ต้องรับผิดชอบการกระทำของตัวเองเพราะสมองยังไม่มีปัญญาที่สามารถคิดได้ แต่เมื่อคลอดมายังโลกนี้แล้ว มนุษย์มีสติปัญญาและความรู้มากพอ ดังนั้น มนุษย์จึงต้องรับผิดชอบในสิ่งที่ตัวเองทำไปจากความคิดและความเชื่อของตัวเอง
โลกในหลุมฝังศพเป็นโลกที่คั่นกลางระหว่างโลกนี้และโลกหน้า หมายความว่าโลกแห่งหลุมฝังศพมิใช่โลกสุดท้าย แต่เป็นโลกชั่วคราวที่วิญญาณซึ่งเป็นชีวิตที่แท้จริงของมนุษย์จะไปรอคอยวันสิ้นโลก วันนั้น มนุษย์จะถูกทำให้ฟื้นคืนชีพเพื่อไปสู่โลกที่แท้จริง ดังนั้น วิญญาณของมนุษย์จะไม่กลับมายังโลกนี้อีก
คำสอนของอิสลามได้ให้ข้อมูลว่าเมื่อการฝังศพเสร็จสิ้นลงและทุกคนที่มาร่วมงานฝังศพกลับบ้านกันหมดแล้ว ทูตสวรรค์สององค์จะมาสอบสวนวิญญาณผู้ตายในเรื่องความศรัทธาและการลงโทษในหลุมฝังศพมีจริง นบีมุฮัมมัดกล่าวว่า “ถ้าฉันไม่กลัวว่าพวกท่านจะไม่มาฝังศพคนตาย ฉันจะวิงวอนขอต่อพระเจ้าให้พวกท่านได้ยินการลงโทษในสุสานเหมือนที่ฉันได้ยิน”
ปัจจุบัน ด้วยความเจริญก้าวหน้าทางด้านวิทยาศาสตร์ มนุษย์มีเรดาร์ที่สามารถระบุแหล่งฝูงปลาในท้องทะเล มีดาวเทียมติดกล้องโทรทัศน์ที่สามารถระบุแหล่งทรัพยากรหรืออารยธรรมที่ถูกฝังกลบอยู่ใต้ผืนดินได้ แต่มนุษย์ยังไม่มีเทคโนโลยีที่สามารถถ่ายภาพความเป็นไปของโลกในหลุมฝังศพให้เห็นได้เหมือนเครื่องอุลตราซาวด์ที่ถ่ายให้เราเห็นความเป็นไปของชีวิตทารกในโลกแห่งครรภ์มารดา
ประการที่สาม ข้อความจากคัมภีร์กุรอานเกี่ยวกับวิวัฒนาการของทารกในครรภ์มารดาต้องการจะบอกมนุษย์ยุคใหล้วันโลกาอวสานว่าถ้ามนุษย์มีความเจริญก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ แต่กลับไม่เชื่อในเรื่องชีวิตในโลกหลังความตาย มนุษย์คนนั้นก็ไม่ต่างอะไรไปจากทารกในครรภ์ที่ตาเนื้อยังมองไม่เห็นและสมองยังไม่มีวิวัฒนากรพอที่จะรับรู้เรื่องโลกนอกครรภ์มารดา
You must be logged in to post a comment Login