- ปีดับคนดังPosted 18 mins ago
- เรื่องยังไม่จบPosted 1 day ago
- ต้องช่วยผู้หญิงขึ้นจากขุมนรกPosted 2 days ago
- คนดีสยบทุกอย่างได้Posted 3 days ago
- จัดการได้ก็ทำเถอะPosted 6 days ago
- ชวนทำบุญครั้งสุดท้ายPosted 7 days ago
- อย่าไปซ้ำเติมPosted 1 week ago
- คงมีโอกาสดีได้นะPosted 1 week ago
- ช่วยสร้างบรรยากาศชื่นมื่นPosted 1 week ago
- หนีกรรมไม่พ้นPosted 2 weeks ago
การฟื้นคืนชีพหลังความตาย
คอลัมน์ : สันติธรรม
ผู้เขียน : บรรจง บินกาซัน
(โลกวันนี้รายวัน ประจำวันที่ 9 ส.ค. 67)
ความเชื่อในการมีอยู่ของพระเจ้าและการฟื้นคืนชีพหลังความตายเป็นหลักศรัทธาสำคัญของทุกศาสนา แต่เนื่องจากสองสิ่งนี้เป็นเรื่องที่มนุษย์มองไม่เห็น บางคนจึงเชื่อและบางคนไม่เชื่อเพียงเพราะไม่เห็นว่าวิญญาณที่ออกจากร่างกายไปแล้วจะกลับมาฟื้นคืนชีพได้อย่างไร
อย่าว่าแต่คนทั่วไปเลย แม้แต่อับราฮัมผู้เชื่อมั่นศรัทธาว่าพระเจ้าเป็นผู้สร้าง ผู้ควบคุมการโคจรของดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์และดวงดาวยังอยากรู้ว่าคนตายไปแล้วจะถูกทำให้ฟื้นคืนชีพได้อย่างไร?
คัมภีร์กุรอานเล่าว่าเมื่ออับราฮัมเอ่ยถึงเรื่องนี้ พระเจ้าได้ถามเขาว่า “เจ้าไม่เชื่อหรือ?” อับราฮัมกล่าวว่า “ฉันเชื่อ แต่ฉันถามเพื่อให้หัวใจของฉันเกิดความสงบ”
อับราฮัมต้องการเห็นว่าคนตายกลับฟื้นคืนชีพขึ้นอีกครั้งหนึ่งได้อย่างไรเพื่อที่จะได้ไปสอนความจริงในเรื่องนี้แก่ผู้คนด้วยความมั่นใจ
ดังนั้น พระเจ้าจึงสั่งเขาให้เอานกสี่ตัวมาเลี้ยงให้เชื่อง เมื่อนกเชื่องแล้วให้เชือดมันและสับมันออกเป็นชิ้นๆและเอาชิ้นส่วนของนกแต่ละตัวไปวางไว้บนภูเขาแต่ละลูกโดยแยกกัน หลังจากนั้นให้เรียกนกทั้งหมดด้วยพระนามของพระเจ้า เมื่อเขาทำตามนั้น ชิ้นส่วนของนกแต่ละตัวที่ถูกแยกจากกันก็กลับมารวมกันเป็นนกมีชีวิตที่บินกลับไปหาเขา
ด้วยวิธีการนี้เองที่ทำให้อับราฮัมประจักษ์ชัดว่าพระเจ้าคือผู้ให้ชีวิต ให้ความตายและทำให้ชีวิตที่ตายแล้วกลับฟื้นคืนชีพขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง
ความเชื่อในพระเจ้าองค์เดียวในฐานะผู้สร้างที่มนุษย์ต้องเคารพสักการะและการฟื้นคืนชีพหลังความตายจึงเป็นหลักศรัทธาที่อับราฮัมส่งต่อให้ลูกหลานของเขามาจนถึงทุกวันนี้
นบีอีซาหรือพระเยซูก็สอนหลักความเชื่อในเรื่องนี้เช่นกันและบรรดาสาวกของท่านก็พยายามถ่ายทอดความเชื่อนี้สืบต่อจากท่าน คัมภีร์กุรอานเล่าว่าหลังสมัยพระเยซู มีเด็กหนุ่มกลุ่มหนึ่งได้เข้าไปในอาณาจักรโรมันเพื่อเผยแผ่เรื่องความศรัทธาในพระเจ้าองค์เดียวท่ามกลางผู้คนที่กราบไหว้บูชาเทวรูปและดวงดาวต่างๆ ดังนั้น เด็กหนุ่มกลุ่มนี้จึงถูกนำตัวไปให้กษัตริย์พิจารณาโทษ แต่เนื่องจากธีโอโดซุสกษัตริย์โรมันในเวลานั้นได้ให้โอกาสเด็กหนุ่มระยะหนึ่งเพื่อกลับไปคิดและเปลี่ยนความเชื่อเสียใหม่ ในช่วงเวลานี้เองที่เด็กหนุ่มกลุ่มนี้ได้หนีออกจากเมืองไปหลบอยู่ในถ้ำและล้มหลับไปเพราะความเหนื่อยล้า
คัมภีร์กุรอานเรียกเด็กหนุ่มกลุ่มนี้ว่า “ชาวถ้ำ” และชาวคริสเตียนรู้จักเด็กหนุ่มกลุ่มนี้ว่า Seven Sleepers of Ephesus (ผู้หลับใหลทั้งเจ็ดแห่งเอฟิซุส)
ไม่เพียงแต่เรื่องความเชื่อในพระเจ้าองค์เดียวเท่านั้นที่ชาวโรมันปฏิเสธ แต่ชาวโรมันยังถกเถียงกันถึงเรื่องการฟื้นคืนชีพหลังความตายด้วย
เด็กหนุ่มกลุ่มนั้นนอนหลับอยู่ในถ้ำด้วยความอ่อนเพลีย เมื่อตื่นขึ้นมา ทุกคนไม่รู้ว่าตัวเองนอนหลับไปนานเพียงใด ด้วยความหิวและความกลัวว่าจะถูกตามจับ เด็กหนุ่มคนหนึ่งจึงอาสาออกจากถ้ำไปซื้ออาหาร เมื่อเด็กหนุ่มคนนั้นเข้าไปซื้อของในเมืองและส่งเหรียญทองคำให้พ่อค้า เขาถูกถามว่าไปเอาเหรียญทองคำมาจากไหน เพราะเหรียญที่เด็กหนุ่มส่งให้นั้นใช้กันเมื่อสองร้อยปีที่แล้ว
เมื่อได้ยินเช่นนั้น เด็กหนุ่มจึงรู้ว่าตัวเองและเพื่อนหลับไปเป็นเวลานานถึงสองร้อยปี เขาจึงเล่าเรื่องราวของเขาและเพื่อนๆในถ้ำให้ฟัง โชคดีที่ในเวลานั้น ชาวโรมันได้หันมารับนับถือศาสนาคริสต์แล้ว แต่ถึงกระนั้น ชาวโรมันก็ยังถกเถียงกันในเรื่องการฟื้นคืนชีพหลังความตายอยู่ เมื่อได้ยินเรื่องราวของเด็กหนุ่มที่หลับไหลอยู่ในถ้ำ ชาวโรมันก็เริ่มเข้าใจและมีความเชื่อในเรื่องนี้
เรื่องราวของชาวถ้ำเกิดขึ้นก่อนหน้าสมัยนบีมุฮัมมัดหลายร้อยปี แต่เรื่องนี้ถูกเปิดเผยให้นบีมุฮัมมัดได้รู้เพื่อเป็นหลักฐานหรือสัญญาณบอกชาวยิวและชาวคริสเตียนในเวลานั้นว่านบีมุฮัมมัดผู้ไม่รู้หนังสือได้รับความรู้จากพระเจ้าเพื่อให้พวกเขายอมรับว่าท่านเป็นนบีที่พวกเขารอคอย
You must be logged in to post a comment Login