วันพฤหัสที่ 21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2567

การฟื้นคืนชีพหลังความตาย

On August 9, 2024

คอลัมน์ : สันติธรรม

ผู้เขียน : บรรจง บินกาซัน

(โลกวันนี้รายวัน ประจำวันที่  9 ส.ค. 67)

ความเชื่อในการมีอยู่ของพระเจ้าและการฟื้นคืนชีพหลังความตายเป็นหลักศรัทธาสำคัญของทุกศาสนา  แต่เนื่องจากสองสิ่งนี้เป็นเรื่องที่มนุษย์มองไม่เห็น  บางคนจึงเชื่อและบางคนไม่เชื่อเพียงเพราะไม่เห็นว่าวิญญาณที่ออกจากร่างกายไปแล้วจะกลับมาฟื้นคืนชีพได้อย่างไร

อย่าว่าแต่คนทั่วไปเลย  แม้แต่อับราฮัมผู้เชื่อมั่นศรัทธาว่าพระเจ้าเป็นผู้สร้าง ผู้ควบคุมการโคจรของดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์และดวงดาวยังอยากรู้ว่าคนตายไปแล้วจะถูกทำให้ฟื้นคืนชีพได้อย่างไร?

คัมภีร์กุรอานเล่าว่าเมื่ออับราฮัมเอ่ยถึงเรื่องนี้  พระเจ้าได้ถามเขาว่า “เจ้าไม่เชื่อหรือ?”  อับราฮัมกล่าวว่า “ฉันเชื่อ  แต่ฉันถามเพื่อให้หัวใจของฉันเกิดความสงบ”

อับราฮัมต้องการเห็นว่าคนตายกลับฟื้นคืนชีพขึ้นอีกครั้งหนึ่งได้อย่างไรเพื่อที่จะได้ไปสอนความจริงในเรื่องนี้แก่ผู้คนด้วยความมั่นใจ

ดังนั้น  พระเจ้าจึงสั่งเขาให้เอานกสี่ตัวมาเลี้ยงให้เชื่อง  เมื่อนกเชื่องแล้วให้เชือดมันและสับมันออกเป็นชิ้นๆและเอาชิ้นส่วนของนกแต่ละตัวไปวางไว้บนภูเขาแต่ละลูกโดยแยกกัน  หลังจากนั้นให้เรียกนกทั้งหมดด้วยพระนามของพระเจ้า  เมื่อเขาทำตามนั้น ชิ้นส่วนของนกแต่ละตัวที่ถูกแยกจากกันก็กลับมารวมกันเป็นนกมีชีวิตที่บินกลับไปหาเขา

ด้วยวิธีการนี้เองที่ทำให้อับราฮัมประจักษ์ชัดว่าพระเจ้าคือผู้ให้ชีวิต  ให้ความตายและทำให้ชีวิตที่ตายแล้วกลับฟื้นคืนชีพขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง

ความเชื่อในพระเจ้าองค์เดียวในฐานะผู้สร้างที่มนุษย์ต้องเคารพสักการะและการฟื้นคืนชีพหลังความตายจึงเป็นหลักศรัทธาที่อับราฮัมส่งต่อให้ลูกหลานของเขามาจนถึงทุกวันนี้

นบีอีซาหรือพระเยซูก็สอนหลักความเชื่อในเรื่องนี้เช่นกันและบรรดาสาวกของท่านก็พยายามถ่ายทอดความเชื่อนี้สืบต่อจากท่าน  คัมภีร์กุรอานเล่าว่าหลังสมัยพระเยซู  มีเด็กหนุ่มกลุ่มหนึ่งได้เข้าไปในอาณาจักรโรมันเพื่อเผยแผ่เรื่องความศรัทธาในพระเจ้าองค์เดียวท่ามกลางผู้คนที่กราบไหว้บูชาเทวรูปและดวงดาวต่างๆ  ดังนั้น  เด็กหนุ่มกลุ่มนี้จึงถูกนำตัวไปให้กษัตริย์พิจารณาโทษ  แต่เนื่องจากธีโอโดซุสกษัตริย์โรมันในเวลานั้นได้ให้โอกาสเด็กหนุ่มระยะหนึ่งเพื่อกลับไปคิดและเปลี่ยนความเชื่อเสียใหม่  ในช่วงเวลานี้เองที่เด็กหนุ่มกลุ่มนี้ได้หนีออกจากเมืองไปหลบอยู่ในถ้ำและล้มหลับไปเพราะความเหนื่อยล้า

คัมภีร์กุรอานเรียกเด็กหนุ่มกลุ่มนี้ว่า “ชาวถ้ำ” และชาวคริสเตียนรู้จักเด็กหนุ่มกลุ่มนี้ว่า Seven Sleepers of Ephesus  (ผู้หลับใหลทั้งเจ็ดแห่งเอฟิซุส)

ไม่เพียงแต่เรื่องความเชื่อในพระเจ้าองค์เดียวเท่านั้นที่ชาวโรมันปฏิเสธ  แต่ชาวโรมันยังถกเถียงกันถึงเรื่องการฟื้นคืนชีพหลังความตายด้วย

เด็กหนุ่มกลุ่มนั้นนอนหลับอยู่ในถ้ำด้วยความอ่อนเพลีย  เมื่อตื่นขึ้นมา  ทุกคนไม่รู้ว่าตัวเองนอนหลับไปนานเพียงใด  ด้วยความหิวและความกลัวว่าจะถูกตามจับ  เด็กหนุ่มคนหนึ่งจึงอาสาออกจากถ้ำไปซื้ออาหาร  เมื่อเด็กหนุ่มคนนั้นเข้าไปซื้อของในเมืองและส่งเหรียญทองคำให้พ่อค้า  เขาถูกถามว่าไปเอาเหรียญทองคำมาจากไหน เพราะเหรียญที่เด็กหนุ่มส่งให้นั้นใช้กันเมื่อสองร้อยปีที่แล้ว

เมื่อได้ยินเช่นนั้น  เด็กหนุ่มจึงรู้ว่าตัวเองและเพื่อนหลับไปเป็นเวลานานถึงสองร้อยปี  เขาจึงเล่าเรื่องราวของเขาและเพื่อนๆในถ้ำให้ฟัง  โชคดีที่ในเวลานั้น  ชาวโรมันได้หันมารับนับถือศาสนาคริสต์แล้ว แต่ถึงกระนั้น  ชาวโรมันก็ยังถกเถียงกันในเรื่องการฟื้นคืนชีพหลังความตายอยู่  เมื่อได้ยินเรื่องราวของเด็กหนุ่มที่หลับไหลอยู่ในถ้ำ  ชาวโรมันก็เริ่มเข้าใจและมีความเชื่อในเรื่องนี้

เรื่องราวของชาวถ้ำเกิดขึ้นก่อนหน้าสมัยนบีมุฮัมมัดหลายร้อยปี  แต่เรื่องนี้ถูกเปิดเผยให้นบีมุฮัมมัดได้รู้เพื่อเป็นหลักฐานหรือสัญญาณบอกชาวยิวและชาวคริสเตียนในเวลานั้นว่านบีมุฮัมมัดผู้ไม่รู้หนังสือได้รับความรู้จากพระเจ้าเพื่อให้พวกเขายอมรับว่าท่านเป็นนบีที่พวกเขารอคอย


You must be logged in to post a comment Login