วันพฤหัสที่ 21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2567

ไม่ต้องแปลกใจถ้าอิสลามจะเข้าไปในยุโรป

On August 23, 2024

คอลัมน์ : สันติธรรม

ผู้เขียน : บรรจง บินกาซัน

(โลกวันนี้รายวัน ประจำวันที่  23 ส.ค. 67)

อาณาจักรไบแซนตินหรืออาณาจักรโรมันตะวันออกรับศาสนาคริสต์เป็นศาสนาประจำชาติและใช้คัมภีร์ไบเบิลเป็นธรรมนูญในการปกครองเมื่อประมาณ ค.ศ. 380 ก่อนที่นบีมุฮัมมัดจะใช้คัมภีร์กุรอานเป็นธรรมนูญปกครองแผ่นดินอาหรับประมาณ ค.ศ.630

แต่หลังจากสมัยนบีมุฮัมมัดจากโลกนี้ไป  ชนชาติอาหรับที่จมอยู่ในยุคอวิชชาเป็นเวลานานได้รับแรงบันดาลใจจากคัมภีร์กุรอานจนกลายเป็นชนชาติที่สร้างอู่อารยธรรมให้แก่โลกนานนับพันปี คนที่เรียนประวัติศาสตร์ไม่อาจปฏิเสธได้ว่าเมืองแบกแดดในอิรักเคยเป็นศูนย์กลางแห่งความเจริญทางด้านวิชาการและมั่งคั่งทางด้านการค้า  ขณะเดียวกัน  ชาวอาหรับมุสลิมได้ไปสร้างอาณาจักรอันดะลุสที่เจริญรุ่งเรืองอยู่ในสเปนยาวนานถึง 700 ปีโดยมีเมืองหลวงอยู่ที่เมืองคอร์โดบา

ในขณะนั้น  ยุโรปยังอยู่ในยุคมืด  หากชาวยุโรปคนใดต้องการความเจริญก้าวหน้าจะเดินทางมาศึกษาหาความรู้ที่เมืองคอร์โดบาเพราะที่นั่นมีมหาวิทยาลัยที่มีหนังสือนับแสนเล่มในห้องสมุด  แต่ก่อนจะมาเรียน  ทุกคนต้องรู้ภาษาอาหรับเพราะหนังสือหรือตำราต่างๆถูกแปลหรือไม่ก็เขียนเป็นภาษาอาหรับโดยการอุปถัมภ์ของเคาะลีฟะฮฺผู้ปกครอง

เมื่อมาศึกษาวิชาการต่างๆในอาณาจักรอันดะลุสแล้ว  ชาวยุโรปได้แปลตำราต่างๆเป็นภาษาละตินเพื่อนำไปขยายผลต่อยอดจนเกิดยุคฟื้นฟูศิลปะวิทยาการ(Renaisance) ซึ่งเป็นรากฐานที่มาของความเจริญก้าวหน้าในชาติตะวันตก  ตำราทางการแพทย์เล่มแรกของโลกชื่อ “กอนูน ฟิฏฏิบ” (บทบัญญัติทางการแพทย์) เขียนโดยอิบนุสินา มุสลิมชาวเปอร์เซียได้ถูกนำไปเป็นตำราอ้างอิงทางการแพทย์ในยุโรปเป็นเวลาเกือบห้าร้อยปี   คำว่า “กอนูน” ได้ถูกชาวยุโรปนำไปเขียนเป็น Canon และเรียกตำรานี้ว่า Canon of Medicine และชื่ออิบนุสินาผู้เขียนตำราเล่มนี้ได้ถูกเปลี่ยนเป็นภาษาละตินว่า Avicenna

หลังยุคฟื้นฟูศิลปวิทยาการ  มีนักวิทยาศาสตร์เกิดขึ้นหลายคนและการค้นพบหลายอย่างของนักวิทยาศาสต์เหล่านี้ได้ขัดแย้งกับความเชื่อของคริสต์จักรจนเป็นสาเหตุให้คริสต์จักรแบ่งออกเป็นสองฝ่ายคือคาธอลิกและโปรเตสแตนต์  หลังจากนั้น ความเจริญก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ได้ทำให้เกิดแนวความคิดว่าศาสนาไม่มีความจำเป็นอะไรสำหรับมนุษย์อีกแล้ว มนุษย์มีสติปัญญาเพียงพอที่จะตัดสินทุกสิ่งใด้  นี่คือที่มาของแนวความคิดมนุษย์นิยม(Humanism) และโลกานิยม(Secularism)

นับแต่นั้นมา  ชาวยุโรปก็หันมายึดถือวิทยาศาสตร์เป็นศาสนาและนับถือนักวิทยาศาสตร์เป็นศาสดาจนถึงขนาดหากนักวิทยาศาสตร์บอกว่ามนุษย์มีวิวัฒนาการมาจากลิง ผู้คนก็เชื่อ  ดังนั้น กฎกติกาในชีวิตและกฎหมายทางสังคมจึงไม่ได้คำนึงถึงคำสอนของศาสนาอีกต่อไปเพราะความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์ได้ขาดสะบั้นลงแล้ว

ความรู้ทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีทำให้หลายชาติในยุโรปมีความเข้มแข็งและออกไปยึดดินแดนต่างๆเป็นอาณานิคมของตัวเอง  และเมื่อไปยึดดินแดนประเทศใด ชาติยุโรปก็จะเอาแนวความคิดใหม่ๆของตนไปใช้กับคนในประเทศเหล่านั้นด้วย  เมื่อแนวความคิดไม่คำนึงถึงคำสอนทางศาสนา  ศีลธรรมของคนในยุโรปและในอาณานิคมก็เสื่อมทรามลง  หลักฐานในเรื่องนี้เห็นได้จากโบสถ์มากมายในหลายประเทศของยุโรปมีคนเข้าน้อยลงและถูกปล่อยร้างในที่สุด

ขณะเดียวกัน  โบสถ์ที่ถูกทิ้งร้างเหล่านี้ได้ถูกมุสลิมที่ถูกกวาดต้อนหรืออพยพไปอยู่ในยุโรปซื้อมาดัดแปลงเป็นมัสยิด  เพราะคนมุสลิมไม่ว่าจะเป็นชนชาติใดจะไม่ทิ้งการละหมาดและยังคงรักษาความศรัทธาในคัมภีร์กุรอานอย่างมั่นคงเพราะถ้อยคำของคัมภีร์กุรอานเป็นวจนะของพระเจ้าที่ไม่เคยเปลี่ยนแปลงและไม่ขัดกับวิทยาศาสตร์

ใน ค.ศ. 1492  กองทัพยุโรปได้ชัยชนะเหนืออาณาจักรอันดะลุสและขับไล่มุสลิมที่ไปสร้างความเจริญรุ่งเรืองให้ยุโรปออกจากแผ่นดินสเปน   มาวันนี้  อิสลามกำลังกลับไปแพร่ขยายในยุโรปอีกครั้งหนึ่งโดยนโยบายรุกรานของชาติยุโรปเองที่ทำให้มุสลิมจากหลายประเทศต้องอพยพเข้าไปในยุโรป


You must be logged in to post a comment Login