- ปีดับคนดังPosted 22 mins ago
- เรื่องยังไม่จบPosted 1 day ago
- ต้องช่วยผู้หญิงขึ้นจากขุมนรกPosted 2 days ago
- คนดีสยบทุกอย่างได้Posted 3 days ago
- จัดการได้ก็ทำเถอะPosted 6 days ago
- ชวนทำบุญครั้งสุดท้ายPosted 7 days ago
- อย่าไปซ้ำเติมPosted 1 week ago
- คงมีโอกาสดีได้นะPosted 1 week ago
- ช่วยสร้างบรรยากาศชื่นมื่นPosted 1 week ago
- หนีกรรมไม่พ้นPosted 2 weeks ago
ไม่ต้องแปลกใจถ้าอิสลามจะเข้าไปในยุโรป
คอลัมน์ : สันติธรรม
ผู้เขียน : บรรจง บินกาซัน
(โลกวันนี้รายวัน ประจำวันที่ 23 ส.ค. 67)
อาณาจักรไบแซนตินหรืออาณาจักรโรมันตะวันออกรับศาสนาคริสต์เป็นศาสนาประจำชาติและใช้คัมภีร์ไบเบิลเป็นธรรมนูญในการปกครองเมื่อประมาณ ค.ศ. 380 ก่อนที่นบีมุฮัมมัดจะใช้คัมภีร์กุรอานเป็นธรรมนูญปกครองแผ่นดินอาหรับประมาณ ค.ศ.630
แต่หลังจากสมัยนบีมุฮัมมัดจากโลกนี้ไป ชนชาติอาหรับที่จมอยู่ในยุคอวิชชาเป็นเวลานานได้รับแรงบันดาลใจจากคัมภีร์กุรอานจนกลายเป็นชนชาติที่สร้างอู่อารยธรรมให้แก่โลกนานนับพันปี คนที่เรียนประวัติศาสตร์ไม่อาจปฏิเสธได้ว่าเมืองแบกแดดในอิรักเคยเป็นศูนย์กลางแห่งความเจริญทางด้านวิชาการและมั่งคั่งทางด้านการค้า ขณะเดียวกัน ชาวอาหรับมุสลิมได้ไปสร้างอาณาจักรอันดะลุสที่เจริญรุ่งเรืองอยู่ในสเปนยาวนานถึง 700 ปีโดยมีเมืองหลวงอยู่ที่เมืองคอร์โดบา
ในขณะนั้น ยุโรปยังอยู่ในยุคมืด หากชาวยุโรปคนใดต้องการความเจริญก้าวหน้าจะเดินทางมาศึกษาหาความรู้ที่เมืองคอร์โดบาเพราะที่นั่นมีมหาวิทยาลัยที่มีหนังสือนับแสนเล่มในห้องสมุด แต่ก่อนจะมาเรียน ทุกคนต้องรู้ภาษาอาหรับเพราะหนังสือหรือตำราต่างๆถูกแปลหรือไม่ก็เขียนเป็นภาษาอาหรับโดยการอุปถัมภ์ของเคาะลีฟะฮฺผู้ปกครอง
เมื่อมาศึกษาวิชาการต่างๆในอาณาจักรอันดะลุสแล้ว ชาวยุโรปได้แปลตำราต่างๆเป็นภาษาละตินเพื่อนำไปขยายผลต่อยอดจนเกิดยุคฟื้นฟูศิลปะวิทยาการ(Renaisance) ซึ่งเป็นรากฐานที่มาของความเจริญก้าวหน้าในชาติตะวันตก ตำราทางการแพทย์เล่มแรกของโลกชื่อ “กอนูน ฟิฏฏิบ” (บทบัญญัติทางการแพทย์) เขียนโดยอิบนุสินา มุสลิมชาวเปอร์เซียได้ถูกนำไปเป็นตำราอ้างอิงทางการแพทย์ในยุโรปเป็นเวลาเกือบห้าร้อยปี คำว่า “กอนูน” ได้ถูกชาวยุโรปนำไปเขียนเป็น Canon และเรียกตำรานี้ว่า Canon of Medicine และชื่ออิบนุสินาผู้เขียนตำราเล่มนี้ได้ถูกเปลี่ยนเป็นภาษาละตินว่า Avicenna
หลังยุคฟื้นฟูศิลปวิทยาการ มีนักวิทยาศาสตร์เกิดขึ้นหลายคนและการค้นพบหลายอย่างของนักวิทยาศาสต์เหล่านี้ได้ขัดแย้งกับความเชื่อของคริสต์จักรจนเป็นสาเหตุให้คริสต์จักรแบ่งออกเป็นสองฝ่ายคือคาธอลิกและโปรเตสแตนต์ หลังจากนั้น ความเจริญก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ได้ทำให้เกิดแนวความคิดว่าศาสนาไม่มีความจำเป็นอะไรสำหรับมนุษย์อีกแล้ว มนุษย์มีสติปัญญาเพียงพอที่จะตัดสินทุกสิ่งใด้ นี่คือที่มาของแนวความคิดมนุษย์นิยม(Humanism) และโลกานิยม(Secularism)
นับแต่นั้นมา ชาวยุโรปก็หันมายึดถือวิทยาศาสตร์เป็นศาสนาและนับถือนักวิทยาศาสตร์เป็นศาสดาจนถึงขนาดหากนักวิทยาศาสตร์บอกว่ามนุษย์มีวิวัฒนาการมาจากลิง ผู้คนก็เชื่อ ดังนั้น กฎกติกาในชีวิตและกฎหมายทางสังคมจึงไม่ได้คำนึงถึงคำสอนของศาสนาอีกต่อไปเพราะความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์ได้ขาดสะบั้นลงแล้ว
ความรู้ทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีทำให้หลายชาติในยุโรปมีความเข้มแข็งและออกไปยึดดินแดนต่างๆเป็นอาณานิคมของตัวเอง และเมื่อไปยึดดินแดนประเทศใด ชาติยุโรปก็จะเอาแนวความคิดใหม่ๆของตนไปใช้กับคนในประเทศเหล่านั้นด้วย เมื่อแนวความคิดไม่คำนึงถึงคำสอนทางศาสนา ศีลธรรมของคนในยุโรปและในอาณานิคมก็เสื่อมทรามลง หลักฐานในเรื่องนี้เห็นได้จากโบสถ์มากมายในหลายประเทศของยุโรปมีคนเข้าน้อยลงและถูกปล่อยร้างในที่สุด
ขณะเดียวกัน โบสถ์ที่ถูกทิ้งร้างเหล่านี้ได้ถูกมุสลิมที่ถูกกวาดต้อนหรืออพยพไปอยู่ในยุโรปซื้อมาดัดแปลงเป็นมัสยิด เพราะคนมุสลิมไม่ว่าจะเป็นชนชาติใดจะไม่ทิ้งการละหมาดและยังคงรักษาความศรัทธาในคัมภีร์กุรอานอย่างมั่นคงเพราะถ้อยคำของคัมภีร์กุรอานเป็นวจนะของพระเจ้าที่ไม่เคยเปลี่ยนแปลงและไม่ขัดกับวิทยาศาสตร์
ใน ค.ศ. 1492 กองทัพยุโรปได้ชัยชนะเหนืออาณาจักรอันดะลุสและขับไล่มุสลิมที่ไปสร้างความเจริญรุ่งเรืองให้ยุโรปออกจากแผ่นดินสเปน มาวันนี้ อิสลามกำลังกลับไปแพร่ขยายในยุโรปอีกครั้งหนึ่งโดยนโยบายรุกรานของชาติยุโรปเองที่ทำให้มุสลิมจากหลายประเทศต้องอพยพเข้าไปในยุโรป
You must be logged in to post a comment Login