วันพฤหัสที่ 21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2567

โลกาภิวัตน์โลกานิยม

On August 30, 2024

คอลัมน์ : สันติธรรม

ผู้เขียน : บรรจง บินกาซัน

(โลกวันนี้รายวัน ประจำวันที่ 30 ส.ค. 67)

ลัทธิโลกานิยม (Secularism) เป็นแนวความคิดที่แยกตัวออกจากคำสอนของศาสนาและไม่ต้องการให้คำสอนของศาสนาเข้ามามีส่วนในกิจการทางสังคมทุกมิติ  ลัทธินี้เกิดขึ้นหลังยุคฟื้นฟูศิลปะวิทยาการ  จากลัทธินี้เองที่ก่อให้เกิดลัทธิทางเศรษฐกิจและการเมืองหลากหลายติดตามมา

เนื่องจากคำสอนของศาสนามาจากพระเจ้า  จึงมีผู้สนับสนุนลัทธิโลกานิยมพยายามจะทำให้มนุษย์ที่เคยนับถือศาสนาเริ่มสงสัยในคำสอนของศาสนาและหันห่างออกจากศาสนาที่เคยเป็นสิ่งยึดเหนี่ยวและเป็นวิถีการดำเนินชีวิต

หนทางหนึ่งก็คือการนำเสนอทฤษฎีวิวัฒนาการของชาร์ลส ดาร์วินที่ว่าชีวิตบนโลกใบนี้เกิดขึ้นจากการรวมตัวของธาตุบางชนิดในสภาวะแวดล้อมที่เหมาะสมและค่อยๆพัฒนาเป็นสิ่งมีชีวิตชนิดต่างๆ  ชาร์ลส์  ดาร์วินยังเขียนหนังสือที่อธิบายว่ามนุษย์มีวิวัฒนาการมาจากลิงซึ่งขัดกับความเชื่อในคัมภีร์ทางศาสนาที่ยืนยันมาตั้งแต่เดิมและไม่เปลี่ยนแปลงว่าพระเจ้าเป็นผู้สร้างมนุษย์

จากมุมมองทางศาสนา  ทฤษฎีของชาร์ลส ดาร์วินเป็นการตัดความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับพระเจ้า  แม้ทฤษฎีของดาร์วินจะได้รับการสนับสนุนจากวิทยานิพนธ์ระดับปริญญาเอกหลายร้อยฉบับให้ดูดีเป็นที่น่าเชื่อถือและถูกนำไปสอนในโรงเรียนและมหาวิทยาลัยทั่วโลกรวมทั้งประเทศไทยด้วย     แต่ผู้สนับสนุนทฤษฎีของดาร์วินก็ต้องเกิดอาการสะดุดทางความคิดจนแทบหัวคว่ำเมื่อถูกฝ่ายที่เชื่อในพระเจ้าแย้งว่าหากมนุษย์มีวิวัฒนาการมาจากลิงจริงๆ  มันต้องมีซาก “ช่วงต่อระหว่างลิงกับมนุษย์” เป็นหลักฐาน

ข้อโต้แย้งนี้เองที่ทำให้ผู้สนับสนุนทฤษฎีของดาร์วินไม่สามารถหาหลักฐานมายืนยันได้  แต่ไม่นานนัก โลกก็ได้ยินข่าวว่ามีการพบหลักฐานช่วงต่อระหว่างลิงกับมนุษย์แล้วที่เมืองพิลท์ดาวน์ประเทศอังกฤษและโครงกระดูกนี้ได้ถูกนำมาวางในพิพิธภัณฑ์ในอังกฤษเป็นเวลานานหลายสิบปี

ซากชิ้นส่วน “ช่วงต่อระหว่างลิงกับมนุษย์” ซึ่งถูกเรียกว่า “มนุษย์พิลท์ดาวน์” นี้เป็นหัวกระโหลกที่มีลักษณะส่วนบนเหมือนกระโหลกของมนุษย์และกระดูกกรามมีลักษณะเหมือนกรามของลิงใหญ่

ทฤษฎีของดาร์วินดูเหมือนเป็นวิทยาศาสตร์  แต่เมื่อวิทยาศาสตร์เจริญก้าวหน้า  มีการคิดค้นน้ำยาเคมีที่ใช้วัดการดูดซับของกระดูก  จึงได้มีการนำน้ำยานี้ไปใช้พิสูจน์ซากกะโหลกของมนุษย์พิลท์ดาวน์ ผลปรากฏว่าการดูดซับของกระดูกส่วนบนกับส่วนล่างไม่เหมือนกัน ซึ่งเป็นการแสดงว่ากระดูกสองชิ้นไม่ใช่กระดูกจากร่างของสิ่งมีชีวิตประเภทเดียวกัน  เมื่อมีการสืบสวนลึกลงไป  จึงได้รู้ความจริงว่าซากกระโหลกดังกล่าวเป็นหลักฐานเท็จที่ถูกสร้างขึ้น  หลังจากนั้น  ซากโครงกระดูกและหัวกระโหลกที่ถูกตั้งไว้หลอกคนมานานนับสิบปีได้ถูกนำออกจากพิพิธภันฑ์ไป

ยิ่งวิทยาศาสตร์เจริญก้าวหน้ามากขึ้น  ทฤษฎีของดาร์วินก็ยิ่งหมดความน่าเชื่อถือลง  เมื่อมีการค้นพบดีเอ็นเอ (DNA) หรือสารพันธุกรรมทำให้มนุษย์รู้ว่าดีเอ็นเอของมนุษย์แต่ละคนไม่เหมือนกันเช่นเดียวกับลายนิ้วมือของมนุษย์  ดังนั้น จึงเป็นไปไม่ได้ที่มนุษย์จะมีวิวัฒนาการมาจากลิง

นอกจากการค้นพบดีเอ็นเอแล้ว  การศึกษาทางธรณีวิทยายังทำให้เรารู้ว่าโลกเคยเป็นกลุ่มก๊าซมาก่อน  หลังจากนั้น กลุ่มก๊าซนี้ได้ควบแน่นเป็นของเหลวร้อนและค่อยๆเย็นลงจนส่วนนอกกลายเป็นเปลือกโลก  ดังนั้น จึงเป็นไปไม่ได้ที่จะมีชีวิตใดๆเกิดขึ้นและก่อตัวเป็นชีวิตที่ค่อยๆวิวัฒนาการเป็นมนุษย์ขึ้นมา

ทฤษฎีวิวัฒนาการของดาร์วินเป็นการตัดขาดความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับพระเจ้า  มันทำให้มนุษย์ไม่รู้จักสถานะของตัวเองว่าเป็นสิ่งถูกสร้างและเป็นบ่าวของพระเจ้าผู้ทรงสร้างและเป็นนาย มนุษย์จึงขาดสิ่งยึดเหนี่ยวและทางนำในการดำเนินชีวิต  คิดว่าตัวเองเกิดมาเพียงเพื่อกิน นอน ถ่าย สืบพันธุ์และตายไปเยี่ยงสัตว์ทั้งหลายโดยไม่ต้องไปถูกพระเจ้าสอบสวนในโลกหน้า

ไม่เพียงเท่านั้น  ทฤษฎีของดาร์วินยังเสนอความคิดอีกว่าผู้ที่แข็งแรงกว่าเท่านั้นที่อยู่รอด ใครอ่อนแอก็ต้องสูญพันธุ์ไป ด้วยความคิดเช่นนี้เองที่ทำให้มนุษย์ที่แข็งแรงกว่านำไปอ้างในการทำลายธุรกิจและชาติอื่นๆที่อ่อนแอกว่า


You must be logged in to post a comment Login