วันศุกร์ที่ 11 ตุลาคม พ.ศ. 2567

การแทรกแซงจากพระเจ้า

On October 11, 2024

คอลัมน์ : สันติธรรม

ผู้เขียน : บรรจง บินกาซัน

(โลกวันนี้รายวัน ประจำวันที่ 11 ต.ค. 67)

หลังยุคฟื้นฟูศิลปะวิทยาการ  ความเจริญก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ทำให้มนุษย์ค้นพบกฎต่างๆที่ควบคุมปรากฏการณ์ทางธรรมชาติจนสามารถอธิบายหรือคำนวณเวลาที่จะเกิดปรากฏการณ์ต่างๆได้อย่างแม่นยำ เช่น การเกิดน้ำขึ้นน้ำลง  การเกิดสุริยุปราคาหรือจันทรุปราคา เป็นต้น

แต่ความเจริญทางวิทยาศาสตร์ที่ตัดขาดความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับพระเจ้าซึ่งเป็นที่มาของลัทธิโลกานิยม(Secularism) ทำให้มนุษย์ผู้นิยมล้ทธินี้ไม่เพียงปฏิเสธพระเจ้าเท่านั้น  แต่ยังพยายามหาทางอธิบายให้พระเจ้าอยู่ภายใต้กฎธรรมชาติที่ตัวเองค้นพบด้วย

เมื่อถูกถามว่า “ธรรมชาติคืออะไร?”  สาวกลัทธิโลกานิยมกลับให้คำตอบที่กำกวม  บางคนกล่าวว่าทุกสิ่งที่ปรากฏในธรรมชาติเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นมาเอง   แต่การอธิบายเช่นนี้ถือว่าขัดกับวิทยาศาสตร์ที่ถือว่าทุกสิ่งที่เกิดขึ้นมาต้องมีสาเหตุ   แค่มองสาเหตุไม่เห็น สาวกลัทธิโลกานิยมก็ด่วนสรุปแล้วว่าไม่มีสาเหตุ ใครจะกล้าพูดขณะมีชีวิตว่าตัวเองไม่มีวิญญาณเพราะตัวเองมองไม่เห็นวิญญาณ

คำสอนของศาสนาสำคัญๆของโลกที่มีมาก่อนวิทยาศาสตร์กล่าวตรงกันว่าทุกสิ่งที่อยู่ในธรรมชาติเป็นสิ่งพระเจ้าสร้างขึ้นและทุกสิ่งอยู่ภายใต้กฎที่พระเจ้ากำหนดไว้เพื่อควบคุมมันให้ดำเนินไปตามพระประสงค์ของพระองค์   ธรรมชาติและปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นในธรรมชาติจึงเป็นหลักฐานยืนยันถึงอำนาจของพระเจ้าในฐานะผู้สร้างและผู้ควบคุม

นั่นหมายความว่าพระเจ้าได้สร้างดาวนับแสนล้านดวงขึ้นมาในจักรวาลและวางโปรแกรมไว้ให้มันต้องดำเนินไปตามโปรแกรมที่กำหนดไว้ไม่ต่างจากการวางโปรแกรมล่วงหน้าให้โดรนหลายร้อยลำบินแปรรูปหรือตัวอักษรในอากาศ

เมื่อมนุษย์สร้างสุ่มเพื่อครอบไก่  มีมนุษย์คนใดบ้างที่เข้าไปอยู่ในสุ่มที่ตัวเองสร้างขึ้น ฉันใดก็ฉันนั้น  เมื่อพระเจ้าสร้างกฎควบคุมทุกสิ่งทุกอย่าง  พระเจ้าจึงต้องอยู่เหนือกฎ  ไม่ใช่ไปอยู่ใต้กฎที่พระองค์สร้างขึ้นเอง   การอยู่เหนือกฎนี้เองที่ทำให้พระเจ้าสามารถทำสิ่งที่เหนือกฎธรรมชาติและเกินกว่าความสามารถของมนุษย์ที่จะทำได้  ปรากฏการณ์เหนือธรรมชาติที่มนุษย์ทำไม่ได้นี้เองที่ถูกเรียกว่า “ปาฏิหาริย์”

ปาฏิหาริย์จึงเป็นอำนาจเหนือธรรมชาติของพระเจ้าที่บางครั้งพระองค์เข้ามาแทรกแซงและแสดงให้มนุษย์ได้เห็นอำนาจของพระองค์  ไฟที่โดยธรรมชาติจะเผาผลาญทุกสิ่งให้กลายเป็นผุยผง  แต่เมื่ออับราฮัมถูกจับเผาไฟทั้งเป็น  พระเจ้าได้สั่งให้ไฟเย็นลง  ไฟก็ไม่ทำอันตรายอับราฮัมและอับราฮัมรอดชีวิตมาเป็นบรรพบุรุษแห่งความศรัทธาของชาวยิว ชาวคริสเตียนและมุสลิม

ทะเลจะแหวกจนเห็นสันทรายต่อเมื่อน้ำทะเลลดลงตามเวลา  ไม่มีมนุษย์คนใดสามารถทำให้น้ำทะเลลดลงได้ตามที่ตัวเองต้องการ  แต่เมื่อพระเจ้าเข้ามาแทรกแซงด้วยการสั่งให้โมเสสใช้ไม้เท้าฟาดลงไปที่น้ำทะเล  น้ำทะเลก็แหวกเป็นทางเดินให้พวกลูกหลานอิสราเอลเดินข้ามทะเลไปโดยที่น้ำทะเลไม่ได้ลด  แต่กลับก่อตัวสูงขึ้นเป็นกำแพงสองข้างทางเดินเสียด้วยซ้ำ

มารีย์สาวพรหมจรรย์ได้รับการแจ้งจากทูตสวรรค์ว่าเธอจะให้กำเนิดบุตรชาย  เธอตกใจเพราะเธอไม่เคยมีชายใดแตะต้องตัวมาก่อน  การมีบุตรจึงเป็นการผิดธรรมชาติ  แต่เมื่อทูตสวรรค์บอกให้เธอทราบว่าหากเป็นพระประสงค์ของพระเจ้าแล้ว  อะไรก็เกิดขึ้นได้  เพียงแค่พระองค์บอกว่า “จงเป็น”  สิ่งที่พระองค์ประสงค์จะเกิดขึ้นมา

การแทรกแซงของพระเจ้าในรูปปาฏิหาริย์ที่เกิดขึ้นกับบุคคลากรของพระองค์นั้นเมื่อเกิดขึ้นแล้วก็หมดไป  แต่การแสดงอำนาจเหนือธรรมชาติของพระองค์ยังมีอยู่ต่อเนื่อง ในอดีต  เมฆดำทะมึนก้อนใหญ่เคยลอยอยู่ในท้องฟ้าเหนือชุมชนชาวอ๊าดในทะเลทรายอาหรับ  ชาวอ๊าดผู้โอหังคิดว่าเมฆดำก้อนนั้นจะนำมาฝนมา  แต่พวกเขาคิดผิด  เพราะเมฆก้อนนั้นเป็นสัญญาณเตือนถึงพายุที่พัดกระหน่ำนานแปดวันเจ็ดคืนทำลายชนชาติอ๊าดจนจมหายไปในทะเลทราย


You must be logged in to post a comment Login