- เรื่องยังไม่จบPosted 24 hours ago
- ต้องช่วยผู้หญิงขึ้นจากขุมนรกPosted 2 days ago
- คนดีสยบทุกอย่างได้Posted 3 days ago
- จัดการได้ก็ทำเถอะPosted 6 days ago
- ชวนทำบุญครั้งสุดท้ายPosted 7 days ago
- อย่าไปซ้ำเติมPosted 1 week ago
- คงมีโอกาสดีได้นะPosted 1 week ago
- ช่วยสร้างบรรยากาศชื่นมื่นPosted 1 week ago
- หนีกรรมไม่พ้นPosted 2 weeks ago
- บทเรียนพระสายมูPosted 2 weeks ago
สสส. เปิดบ้านรับ 10 ประเทศ เอเชีย แชร์ประสบการณ์กว่า 20 ปี ขับเคลื่อนงานสร้างเสริมสุขภาพ
Thai UHC Journey Workshop 2024 สสส. เปิดบ้านรับ 10 ประเทศ เอเชีย แชร์ประสบการณ์กว่า 20 ปี ขับเคลื่อนงานสร้างเสริมสุขภาพ พร้อมสร้างความร่วมมือพัฒนาระบบสุขภาพระหว่างประเทศ-ลดภาระค่าใช้จ่ายทางสุขภาพของประชาชน
สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) เปิดบ้านจัดกิจกรรมอบรมเชิงปฏิบัติการ ระดับภูมิภาค เพื่อแบ่งปันความรู้ และประสบการณ์ในการสร้างเสริมสุขภาพในหัวข้อ “Thai UHC Journey Workshop 2024 การสร้างเสริมสุขภาพ: เส้นทางสร้างความเปลี่ยนแปลงสู่สุขภาวะที่ดี และยั่งยืน” ให้กบกับบุคลากรภาครัฐ นักวิชาการผู้เชี่ยวชาญด้านนโยบายงานวิจัยสุขภาพ และผู้แทนองค์กรภาคประชาสังคมจาก 10 ประเทศในเอเชีย ได้แก่ มาเลเซีย บังกลาเทศ กัมพูชา อินโดนีเซีย เมียนมา ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ ศรีลังกา ติมอร์-เลสเต และไทย ตลอดจนผู้แทนองค์กรระหว่างประเทศ อาทิ ธนาคารพัฒนาเอเชีย (Asian Development Bank) Vital Strategies และ Regional Laboratory on Urban Governance for Health and Well-being รวมจำนวน 25 คน เพื่อเน้นความสำคัญของการสร้างเสริมสุขภาพไปสู่การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมสุขภาพและสุขภาวะที่ยั่งยืน
ดร.ประกาศิต กายะสิทธิ์ ผู้ช่วยผู้จัดการกองทุน สสส. กล่าวว่า กิจกรรมครั้งนี้จัดขึ้นเป็นครั้งที่ 4 เพื่อเป็นเวทีนำเสนอและแลกเปลี่ยนประสบการณ์ตลอดจนบทเรียนความสำเร็จด้านการสร้างเสริมสุขภาพของไทยที่หนุนเสริมต่อการบรรลุหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า (UHC) และระบบสุขภาพองค์รวมที่เข้มแข็งมีประสิทธิภาพ รวมถึงสร้างเครือข่ายความร่วมมือระหว่างประเทศ ที่เน้นย้ำถึงความสำคัญของงานสร้างเสริมสุขภาพที่ไม่ใช่เพียงแต่การดูแลสุขภาพส่วนบุคคล แต่ยังเป็นเรื่องของการพัฒนานโยบายสาธารณะ สร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อทั้งในระดับบุคคล ชุมชน สังคม และระบบโครงสร้าง ที่สอดคล้องกฎบัตรออตตาวา เพื่อการสร้างเสริมสุขภาพ พ.ศ. 2529
“ปัจจุบันโลกกำลังเผชิญความท้าทายของยุคสมัยใหม่ที่มักจะทับซ้อนและเชื่อมโยงกัน อาทิ การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โรคระบาด ภัยพิบัติทางธรรมชาติ การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างประชากร ปัจจัยการค้ามีอิทธิพลต่อสุขภาพ และโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง ทำให้แต่ละประเทศจึงต้องพัฒนานโยบายหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า เพื่อดูแลสุขภาพประชาชนอย่างครอบคลุมและลดภาระค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพของประชาชน ซึ่งต้องอาศัยระบบสุขภาพที่แข็งแรง มีประสิทธิภาพ ครอบคลุมตั้งแต่การสร้างเสริมสุขภาพ ป้องกันโรค รักษา ฟื้นฟู และการดูแลแบบประคับประคอง ทั้งนี้ การสร้างเสริมสุขภาพจัดเป็นส่วนหนึ่งที่สำคัญ ที่มุ่งจัดการปัจจัยกำหนดสุขภาพผ่านการบูรณาการหลายภาคส่วน จึงสามารถทำหน้าที่เป็น เส้นทางสร้างความเปลี่ยนแปลงสู่สุขภาวะที่ดีและยั่งยืน” ดร.ประกาศิต กล่าว
ดร.ทพญ.วริศา พาณิชย์เกรียงไกร ผู้จัดการแผนงานเสริมสร้างความเป็นผู้นำด้านสุขภาพโลก-ไทย ภายใต้กลยุทธ์ความร่วมมือของรัฐบาลไทยกับองค์การอนามัยโลก (WHO-CCS EnLIGHT) กล่าวว่า การพัฒนาระบบสุขภาพ และการลดภาระค่าใช้จ่ายทางสุขภาพของประชาชน คือรากฐานสำคัญที่ทำให้เกิดการขับเคลื่อนระบบหลักประกันสุขภาพที่มั่นคง และสามารถพัฒนาให้เกิดการเข้าถึงงานบริการสุขภาพอย่างเท่าเทียมและทั่วถึง การพัฒนาระบบสุขภาพได้ริเริ่มตั้งแต่ช่วงปี 2515 ที่ไทยมีนโยบายสาธารณสุขมูลฐาน ทำให้เกิดการขับเคลื่อนโครงสร้างสาธารณสุขมูลฐานในพื้นที่ห่างไกลทั่วประเทศ โดยก้าวสำคัญของไทยเกิดขึ้นในปี 2544 ที่มีการผลักดันการจัดตั้งกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) และในปี 2545 ที่มีการผลักดันนโยบายหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าสำเร็จ และอีกสิ่งสำคัญของระบบสุขภาพไทยมูลฐาน คือ ‘อาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน’ (อสม.) ที่มีอยู่มากกว่า 1 ล้านคนทั่วประเทศ เป็นกลไกสำคัญที่สนับสนุนการขับเคลื่อนระบบสาธารณสุข งานสร้างเสริมสุขภาพ และการป้องกันโรคเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ
“บทเรียนสำคัญของเส้นทางการพัฒนาระบบสุขภาพในประเทศไทย จะขาดไม่ได้เลยคือ ภาคนโยบายจะต้องพัฒนาและนำนโยบายสร้างเสริมสุขภาพไปสู่การปฏิบัติในทุกๆ ด้าน การมีโครงสร้างระบบสุขภาพที่จะช่วยให้บุคลากรสาธารณสุขสามารถทำงานได้อย่างเป็นระบบทั่วประเทศ นอกจากนี้สิทธิประโยชน์ของระบบหลักประกันสุขภาพจะต้องครอบคลุมเรื่อง การสร้างเสริมสุขภาพ และการป้องกันโรคด้วย ท้ายสุดคือ การมีส่วนร่วมจากทุกภาคส่วน ทั้งภาคนโยบาย ภาควิชาการ และภาคสังคม ในการขับเคลื่อนการสร้างเสริมสุขภาพไปข้างหน้าได้อย่างมั่นคง และยั่งยืน ท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงของปัจจัยสุขภาพ” ดร.ทพญ.วริศา กล่าว
พญ. แคทเธอรีน แอน เรเยส (Dr. Katherine Ann Reyes) นักวิจัยหลักด้านงานสร้างเสริมสุขภาพจาก สถาบันสุขภาพ แห่งชาติ มหาวิทยาลัยแห่งชาติฟิลิปปินส์ เมืองมะนิลา กล่าวว่า เป็นครั้งแรกที่ได้มีโอกาสเข้าร่วมกิจกรรมอบรมเชิงปฏิบัติการนี้ ได้ร่วมเรียนรู้ประสบการณ์กว่าสองทศวรรษของการขับเคลื่อนงานสร้างเสริมสุขภาพของสสส. และปัจจัยความสำเร็จของการปฏิรูประบบสุขภาพในไทย สำหรับฟิลิปปินส์แม้ว่าจะมีกฎหมายการสร้างเสริมสุขภาพรองรับ แต่การสร้างความตระหนักรู้ร่วมกันของฝ่ายนโยบายและภาคประชาสังคมยังเป็นเรื่องที่ท้าทาย ในฐานะนักวิชาการมองว่า กรณีศึกษาจากไทยจะช่วยให้ตนและทีมงานสามารถศึกษาวิจัยเพิ่ม เพื่อหาแนวทางในการนำเสนอกับภาคส่วนต่างๆให้ตระหนักถึงคุณค่า และความสำคัญของงานสร้างเสริมสุขภาพ ที่ผ่านมาฟิลิปปินส์ประสบความสำเร็จกับการทำงานเรื่องควบคุมการบริโภคยาสูบ แต่แผนการทำงานเรื่องการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ยังต้องพัฒนาในระยะยาว ควบคู่กับการสร้างเสริมสุขภาพอื่นๆ และสร้างการรับรู้ให้ประชาชนเข้าใจถึงประโยชน์ ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพ นำไปสู่การลดภาระของประเทศต่อค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพในอนาคตต่อไป
You must be logged in to post a comment Login