- เลือกงานให้โดน บริหารคนให้เป็น ตาม“ลัคนาราศี”Posted 18 hours ago
- ต่างศาสนา ต่างชาติพันธุ์ อยู่ร่วมกันภายใต้ความแตกต่างPosted 18 hours ago
- โลภ•ลวง•หลง เกมพลิกชีวิต รีแบรนด์หรือรีบอร์นPosted 18 hours ago
- กูไม่ใช่ไก่ต้มเว้ย! อย่ามาต้มกูเลย..Posted 18 hours ago
- หยุดความรุนแรง-ลวงโลกPosted 2 days ago
- อ.เบียร์ช่วยวัดสวนแก้วPosted 5 days ago
- เลิกเสียเงินกับเรื่องโง่ๆPosted 6 days ago
- ปัญหายาเสพติดวาระแห่งชาติPosted 7 days ago
- แก่อย่างไม่มีคุณค่าPosted 1 week ago
- “ทักษิณ” ยังมีมนต์ขลังPosted 1 week ago
โลภ•ลวง•หลง เกมพลิกชีวิต รีแบรนด์หรือรีบอร์น
บทความพิเศษ โดยทีมข่าวโลกวันนี้
เชื่อว่าคนไทยร่วมสมัย ไม่มีใครไม่รู้จัก ชื่อ “ชูวิทย์ กมลวิศิษฏ์” สิ่งที่เรามาเขียนถึงในวันนี้ไม่ใช่เรื่องของคุณ ชูวิทย์ แต่เป็นเรื่องราวเทียบเคียงการพลิกโอกาสในชีวิต ที่กุมความลับหลายอย่างของเทวดาต่างๆ ในองค์กรต่างๆของไทย ผ่านการบันทึกคลิปลับสนทนากับ “วรัตน์พล วรัทย์วรกุล” หรือที่คนไทยวันนี้รู้จักในชื่อ “บอสพอล” บอสใหญ่แห่ง “ดิไอคอนกรุ๊ป” ที่เป็นข่าวโด่งดังอื้อฉาวเกี่ยวกับธุรกิจขายตรง เครือข่ายฟอกเงิน ฉ้อโกงประชาชน หรือแชร์ลูกโซ่ อะไรก็ไม่รู้ ไม่รู้ ไม่รู้.. ที่ยังหาข้อสรุปไม่ได้จนกว่าคดีจะถึงที่สุด!
เทียบเคียง “ชูวิทย์” เชื่อมจิต “บอสพอล”
ก่อนเชื่อมจิตไปถึง “บอสพอล” เราจะเริ่มต้นกันที่ เมื่อครั้งหนึ่ง “ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์” เคยเป็นผู้ต้องหาคดีจ้างวานชายฉกรรจ์บุกรื้อบาร์เบียร์ย่านสุขุมวิทจนเป็นข่าวใหญ่ แม้สุดท้ายชูวิทย์จะลงเอยด้วยการต้องรับโทษ แต่ในระหว่างที่ตกอยู่ในฐานะผู้ต้องหา ชูวิทย์เลือกที่จะเปิดโปงเรื่องของตำรวจรับส่วย จากธุรกิจของเขาซึ่งเป็นธุรกิจอาบอบนวด และระหว่างเวลาที่ช่วงของคดีนั้นจะจบลง เขาก็ได้สร้างเรื่องราวมากมายไม่ว่าจะเป็นการเล่าการหลบหนี (อ้างว่า) ถูกอุ้ม คลุมหัวใส่รถตู้ ถูกจับไปปล่อยบนถนนแห่งหนึ่ง ฯลฯ โดยเฉพาะอย่างยิ่งช่วงที่ได้รับการประกันตัวออกมาสู้คดี เขาได้กลายเป็นบุคคลในตำนานในการเปิดโปงแบบเปิด..เกือบสุด! (ใช้คำว่า “เกือบสุด” เพราะที่สุด..แล้วยังไม่สุด) จากฐานะ “เสี่ยอ่าง แห่งวงการอาบอบนวด” ผมเผ้ายาวรุงรังเหมือนศิลปินพ่อเล้า เขากลับมาใส่เชิ้ตขาว ผูกเน็กไท อีกครั้ง
ชูวิทย์ ใช้วิธีเปิดข้อมูลแบบรายวัน กั๊กไว้ทีละนิด แล้วเปิดทีละน้อย มีลูกล่อลูกชนสนุกสนาน ชวนให้คนติดตามข่าวสารอย่างต่อเนื่อง เป็นความสนุกท้าทายของผู้สื่อข่าว ในขณะเดียวกันก็เขย่าขวัญบุรุษในชุดสีกากีแทบทุกวัน แบบไม่รู้ว่าใครเป็นใคร จนเป็นศูนย์รวมของผู้สื่อข่าวอาชญากรรมไปโดยปริยาย และแน่นอนว่า เรื่องราวของเขาได้ยึดพื้นที่สื่อ โดยเฉพาะในสมัยที่ยังเป็นหนังสือพิมพ์นั้น เรื่องราวของเขาที่ปูดขึ้น ได้ขึ้นหน้าหนึ่งของหนังสือพิมพ์รายวันทุกฉบับแทบทุกวัน เป็นระยะเวลายาวนานต่อเนื่อง
จากผู้ร้ายกลายเป็นผู้ที่สื่อมวลชนให้ความสนใจมาก เพราะเนื่องจากความผิดที่เกิดขึ้นนั้นเป็นเรื่องหนึ่ง แต่ความลับที่เขากุมเอาไว้นั้น ยิ่งใหญ่กว่า และอาจจะเปิดเป็นคดีที่ใหญ่กว่าได้ นั่นคือการคอรัปชั่นในวงการตำรวจ เพราะเพียงแค่เอ่ยปาก เอ่ยชื่อย่อ เอ่ยพฤติกรรม พฤติกาม ไม่ว่าคุณจะเป็นใคร คุณก็แทบจะเชื่อไปแล้วเกินครึ่งว่า มีการทุจริตคอรัปชั่นในวงการสีกากีอย่างแน่นอน
สำหรับบอสพอลแล้ว ไม่ว่าเขาจะใช้วิธีเช่นใดในการเปิดเผยข้อมูลก็ตาม เป้าหมายที่ซ่อนอยู่ในเบื้องหลังของความจริงหรือเท็จในข้อมูลเหล่านั้น จะเป็นประโยชน์กับสังคมหรือไม่ ยังไม่สำคัญเท่า ข้อมูลลับเหล่านั้น คือ อำนาจต่อรอง อันเป็นพลังลึกลับ ที่อาจเปลี่ยนแปลงผลแห่งคดีของเหล่าเทวดาหรือไม่ ยังเป็นเรื่องที่ไม่สามารถสรุปได้ในตอนนี้
โอ้ว..ขยันผิดที่ 10 ปีก็ไม่รวย!!
ตัดภาพมายังปัจจุบัน ข่าวใหญ่ในบ้านในเมืองซึ่งเชื่อว่าอย่างไรเสียก็ต้องเป็นข่าวใหญ่แห่งปี นั่นก็คือการล่มสลายของ “ดิไอคอนกรุ๊ป” ธุรกิจที่ไม่รู้ว่าเป็นขายตรง หรือแชร์ลูกโซ่ หรือฉ้อโกงประชาชน หรืออะไรก็แล้วแต่ แต่ชื่อของแต่ละบอสที่เกิดขึ้นนั้น รวมถึงมีพิธีกร ดาราดัง เช่น “บอสกันต์” กันต์ กันตถาวร, “บอสมิน” พีชญา วัฒนามนตรี, “บอสแซม” ยุรนันท์ ภมรมนตรี มาเกี่ยวข้องแบบฉ่ำๆ จึงเป็นเรื่องที่โด่งดัง และได้รับความสนใจ ไม่ใช่แค่คนไทยเท่านั้น แต่ถือว่าเป็นข่าวดังระดับนานาชาติเลยทีเดียว
ย้อนรอยตั้งแต่วันที่สูญสิ้นอิสรภาพวันแรกคือ วันที่ 16 ตุลาคม เจ้าหน้าที่จากกองบังคับการปราบปรามการ กระทำความผิดเกี่ยวกับการคุ้มครองผู้บริโภค (บก.ปคบ.) ได้นำพยานหลักฐานขออำนาจศาลอาญาออกหมายจับผู้ต้องหาที่เกี่ยวข้องในคดีดิไอคอนกรุ๊ปทั้งหมด 18 คน ซึ่งในจำนวนนี้รวมถึงผู้ต้องหาในความผิดฐานฉ้อโกงประชาชนตามประมวลกฎหมายอาญา และนำข้อมูลอันเป็นเท็จเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิว เตอร์ พ.ศ. 2550 และที่แก้ไขเพิ่มเติม เมื่อศาลอนุมัติทั้ง 18 หมายจับ ตำรวจ ปคบ. จึงเข้าจับกุมบอสพอล ที่อยู่ระหว่างเข้าชี้แจงข้อเท็จจริงกับ สคบ. ในวันนั้น และตามจับกุมผู้ต้องหาที่เหลือได้จนครบทั้ง 18 คนในวันเดียวกัน
ผู้ต้องหาทั้ง 18 คน ถูกสอบสวนและไม่ให้ประกันตัวทั้งในชั้นตำรวจ และชั้นศาล ต้องถูกฝากขังในเรือนจำทั้งหมด คือ นายวรัตน์พล วรัทย์วรกุล นายกันต์ กันตถาวร นายจิรวัฒน์ แสงภักดี นายเชษฐ์ณภัฎ อภิพัฒนากานต์ น.ส.เสาวภา วงษ์สาขา น.ส.กนกธร ปูรณะสุคนธ์ นาย กลด เศรษฐนันท์ น.ส.ปัญจรัศม์ กนกรักษ์ธนพร นายฐานานนท์ หิรัญไชยวรรณ น.ส.นัฐปสรณ์ ฉัตรธนสรณ์ น.ส.ญาสิกัญจณ์ เอกชิสนุพงศ์ นายนันท์ธรัฐ เชาวนปรีชา นายธวิณทร์ภัส ภูพัฒนรินทร์ นายหัสยานนท์ เอกชิสนุพงศ์ นายยุรนันท์ ภมรมนตรี น.ส.พีชญา วัฒนามนตรี นางวิไลลักษณ์ เจ็งสุวรรณ นายธนะโรจน์ ธิติจริยาวัชร์ วันที่เขียนบทความนี้ (1 พฤศจิกายน 2567) ทั้ง 18 คน ยังคงถูกจองจำอยู่ในเรือนจำ ยังไม่มีใครได้รับการประกันตัว
ย้อนรอย บริษัท ดิไอคอนกรุ๊ป จำกัด ก่อตั้งโดย “บอสพอล” วรัตน์พล วรัทย์วรกุล จดทะเบียนบริษัทเมื่อวันที่ 1 มิถุนายน พ.ศ. 2561 ด้วยทุนจดทะเบียน 1,000,000 บาท มีสำนักงานใหญ่อยู่แถวย่านรามอินทรา ตามเอกสารพาณิชย์ระบุว่า ทำธุรกิจจัดจำหน่ายสินค้าสุขภาพ และสินค้าความงาม
ในช่วง 5 ปีแรก ดิไอคอนกรุ๊ป มีรายได้รวมมากกว่า 10,000 ล้านบาท โดยครึ่งหนึ่งเป็นรายได้ในปี พ.ศ. 2564 เพียงปีเดียว เรียกว่ารวยอย่างก้าวกระโดด จนมีวลีฮิตว่า “ขยันผิดที่ 10 ปีก็ไม่รวย”
ถ้าจะรวยข้ามคืน ก็ “ดิไอคอน” แล้ว
หลักการทำธุรกิจเบื้องหน้าของดิไอคอนกรุ๊ป ใช้กลยุทธ์ในการจำหน่ายสินค้าผ่านตัวแทนจำหน่าย โดยที่ไม่ต้องสต็อกสินค้าไว้เอง และเปิดสอนการขายออนไลน์ให้แก่ตัวแทนจำหน่ายและผู้ที่สนใจ รวมถึงการนำศิลปิน นักแสดง หรือบุคคลที่มีชื่อเสียงในวงการบันเทิง มาดำรงตำแหน่งต่าง ๆ หรือเป็นพรี เซ็นเตอร์ให้กับสินค้าในเครือ
กระบวนการโดยเริ่มต้น คือ ให้ผู้ที่สนใจที่จะเข้ามาทำธุรกิจออนไลน์ได้เข้ามาศึกษาเรียนรู้วิธีการทำงานเพื่อโพสต์หรือใช้โซเชียลมีเดียให้เป็น ด้วยราคาที่ไม่น่าเชื่อ เช่น 89 บาท 98 บาทเป็นต้น
แน่นอนว่า “ของถูกของฟรีแล้วดี ย่อมไม่มีในโลก” การเรียนการสอนก็เป็นไปตามที่ได้ปรากฏเป็นข่าวว่ามีจริง แต่ที่จริงไปกว่านั้นก็คือ หลังจากเรียนจบทุกคนจะถูกเข้า “ห้องเย็น” หรืออีกนัยหนึ่งก็คือ “ห้องเชือด” หรือห้องปลุกกระแสความโลภ ให้เข้ามาสู่วงจรของการ “ถ้าอยากรวยข้ามคืน ก็ ดิไอคอน แล้ว”
แน่นอนว่าจะไม่ใช่การบังคับ แต่วิธีการโน้มน้าวนั้น ก็ออกมาให้เห็นเด่นชัดเมื่อความจริงปรากฏว่าสินค้าที่ขายอาจจะไม่เป็นที่รู้จักมากกว่าดารา หรือการโฆษณาชวนเชื่อว่าจะ รวย รวย รวย รวย และรวย
แม้มีเรื่องระแคะระคายเกี่ยวกับธุรกิจนี้มาโดยตลอด แต่ผู้ที่เปิดประเด็นครั้งแรกจนเป็นกระแส ที่ทุกคนต้องมาโหน ก็คือ รายการเที่ยงวันทันเหตุการณ์ และรายการโหนกระแส เมื่อวันที่ 7 ตุลาคม พ.ศ. 2567 โดย “พี่หนุ่ม” (ไม่ว่าเยาว์วัย หรือคนที่แก่กว่ากรรชัย ก็เรียกเขาว่า “พี่หนุ่ม” ) กรรชัย กำเนิดพลอย ผู้ประกาศข่าวของช่อง 3 เอชดี ได้ระบุในรายการเที่ยงวันทันเหตุการณ์ ในช่วงหนึ่ง เกี่ยวกับบริษัทขายตรงชื่อดัง ที่ใช้ดารานักแสดงที่มีชื่อเสียงของประเทศไทยมาเป็นพรีเซ็นเตอร์ และหลอกชักชวนให้ประชาชนมาร่วมลงทุน แต่สุดท้ายกลับไม่ดำเนินการตามที่ตกลงไว้ ซึ่งเหตุการณ์เกิดขึ้นมาตั้งแต่วันที่ 5 ตุลาคม พี่หนุ่มบอกว่า “ตนได้พูดคุยกับผู้เสียหายในกรณีนี้และรวบรวมข้อมูลไว้ทั้งหมดแล้ว”
ต่อมาในวันรุ่งขึ้น (8 ตุลาคม) หนุ่ม กรรชัย ได้โพสต์ข้อความเพิ่มว่า บริษัทดังกล่าวเริ่มมีพฤติกรรมข่มขู่บุคคลอื่น และพยายามปกป้องพรีเซ็นเตอร์ แต่ไม่ปกป้องผู้เสียหาย ในเวลาต่อมามีผู้เสียหายออกมาแสดงตน และเปิดเผยกระบวน การหลอกลวงนี้เพิ่มขึ้น เช่น คริสโตเฟอร์ เบญจกุล อดีตนักแสดงที่ประสบอุบัติเหตุ ซึ่งเพจเฟซบุ๊กที่โพสต์ในกรณีของคริสโตเฟอร์และภรรยา ได้ระบุคำใบ้เพิ่มผ่านแฮชแท็ก #ขยันผิดที่ 10 ปี ก็ไม่รวย ซึ่งเป็นวลียอดนิยมของวรัตน์พล หรือบอสพอล ที่เป็นผู้ก่อตั้งดิไอคอนกรุ๊ป
เอ๊ะ! ทุกวงการ เทวดาก็ต้องกิน
เมื่อเกิดเป็นกระแสสังคมขึ้น ได้ส่งผลให้ผู้ใช้สื่อสังคมวิพากษ์วิจารณ์ดิไอคอนกรุ๊ปอย่างหนัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้มีชื่อเสียงที่ดำรงตำแหน่งในดิไอคอนกรุ๊ป ที่เป็นดาราดังพิธีกรดังเช่น กันต์ กันตถาวร ประธานเจ้าหน้าที่การตลาด, มิน – พีชญา วัฒนามนตรี ประธานเจ้าหน้าที่การสื่อสาร, แซม – ยุรนันท์ ภมรมนตรี ประธานเจ้าหน้าที่การวิจัย หรือพรีเซ็นเตอร์ของสินค้าในเครือ เช่น บอย – ปกรณ์ ฉัตรบริรักษ์, ป้อง – ณวัฒน์ กุลรัตนรักษ์, เวียร์ – ศุกลวัฒน์ คณารศ, โดม – ปกรณ์ ลัม และ พีพี – กฤษฏ์ อำนวยเดชกร เป็นต้น หลายคนจึงต้องออกมาแถลงข่าว เปิดเผยข่าว และแสดงตนถึงเจตนาว่าตัวเองนั้นตกเป็นผู้ต้องหา เป็นพรีเซ็นเตอร์ หรือเป็นเหยื่อกันแน่? หลายคน จากหลายอาชีพ ไปออกรายการต่างๆ ก็พอเอาตัวรอดได้ หลายคนหวังฟอกขาว แต่สุดท้ายกลายเป็นสีเทาพร้อมสีข้างถลอกปอกเปิกกลับออกไป
จากเหตุการณ์ ดิไอคอน ทำให้สังคมต้อง “เอ๊ะ” กับสิ่งที่เกิดขึ้น พระระดับผู้ใหญ่ อย่าง “พระราชธรรมนิเทศ” หรือที่รู้จักกันในฉายา “พระพยอม กัลยาโณ” ต้องออกมาเตือนให้สังคมไทยตั้งสติ และต้อง เอ๊ะ!กับทุกวงการ! อย่าไปหลงเชื่ออะไรง่ายง่าย ใช้หลักกาลามสูตร อย่าเชื่อเพราะเป็นครูบาอาจารย์ อย่าเชื่อแม้กระทั่งพระ เล่นเอาพระดังและมีชื่อเสียงอย่างท่าน ว.วชิรเมธี ที่ไปนั่งสมาธิบนปุยหิมะในญี่ปุ่นจนแทบลืมกลับวัด โดย ท่าน ว. เผลอโพสต์ไปเตือนหนุ่มกรรชัยว่า อย่าเผลอไปเป็นฆาตกรต่อเนื่องในรายการ จนลบโพสต์แทบไม่ทัน แต่เรื่องนี้ก็สรุปจบไป เพราะก็ไม่มีใครอยากเชื่อว่าท่านเกี่ยวข้องหรือสนับสนุนอย่างจริงจังอยู่แล้ว
จึงต้องบอกว่าผลสะท้านสะเทือนของดิไอคอนกรุ๊ปในครั้งนี้ หวั่นไหวไปทุกวงการ แยกไม่ออกว่าคนไหนดีคนไหนไม่ดี แยกแทบไม่ได้ว่าคนไหนถูกคนไหนผิด ตำรวจจะจับผู้ร้าย ก็ยังถูกไม่ไว้ใจว่าตำรวจจะกลายเป็นผู้ร้ายเสียเองหรือเปล่า คนทำงานมูลนิธิ องค์กรการกุศล นักร้อง(เรียน) หรือทนายดังๆ ที่อาสามาช่วยเหยื่อ ก็ไม่เว้นถูกครหา ยิ่งพูดมากยิ่งหลุด แต่เทวดาก็ยังเดือดร้อน เพราะเทวดาก็ยังต้องกินต้องใช้ จนทำให้ต้องร้อง “เอ๊ะ เอ๊ะ เอ๊ะ” ไปทุกหย่อมหญ้า เอ๊ะ! ไปทุกวงการจริงๆ
แน่นอนว่าแวดวงการเมืองก็หนีไม่พ้นชื่อตัวย่อ ส. ซึ่งต่อมา เจ้าของตัวย่อ ก็เผลอออกมายอมรับจนต้องมีการลาออกจากตำแหน่งในพรรคการเมืองพรรคหนึ่งแทนที่จะต้องถูกขับออก และแน่นอนอีกเช่นกันว่าเมื่อพรรคหนึ่งเสียชื่อ ไม่รู้ ไม่รู้ ไม่รู้.. เราจะไม่ยอมทิ้งใครไว้ข้างหลัง จึงออกมาโยนระเบิดไปอีกพรรคหนึ่ง พร้อมอักษรตัวย่อมากมาย จริงบ้างเท็จบ้าง นักสืบออนไลน์ก็ทำงานกันต่อไป
เราจะไม่ทิ้งใคร ไว้ข้างหลัง!
คำพูดว่า “เราจะไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง” นัยหนึ่ง หมายถึงความเป็นห่วงเป็นใย ต้องดูแลกัน แต่อีกนัยหนึ่งก็คือ ไหนๆ (กรู) ก็ติดคุกอยู่แล้ว (มรึงๆ) ก็มาติดคุกด้วยกันเลย อย่าอยู่ข้างหลังเลย เพราะเราจะไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง..
การเปิดประเด็นใหม่รายวันแต่ละวันจากทนายวิฑูรย์ เก่งงาน ทนายความของ วรัตน์พล วรัทย์วรกุล หรือบอสพอล และดิไอคอนกรุ๊ป จึงกลายเป็นตัวแทนออกมาเปิดเผยเรื่องใหม่ๆ แทบทุกวัน ว่าบอสพอลมีของฝากอะไรจากในคุก เพื่อมาบอกสื่อบอกสังคม (บางคนแปลความหมายว่า คล้ายขู่) ว่าอะไรบ้าง และที่ลุ้นกันสนุกกว่านั้นคือ ยังมีคลิปอะไรอยู่บ้าง และใครบ้าง ที่เขาไม่อยากให้ทิ้งไว้ข้างหลัง
ก่อนที่จะถูกจับกุมคุมขัง บอสพอลได้มาออกรายการโหนกระแส ช่วงเที่ยงวัน เป็นรายการแรก ด้วยอาการหมองเศร้าตาแดงน้ำมูกไหล ร้องไห้สะอื้นไม่หยุด และบอกว่าไม่เคยรู้มาก่อนว่ามีผู้เสียหายมากขนาดนี้ จนถึงกับขนาดว่ามีการฆ่าตัวตาย และตัวเองไม่เคยรู้เรื่องนี้มาก่อน ถ้ารู้ก็จะไม่ยอมให้เกิดเรื่องแบบนี้ แล้วก็ร้องไห้ต่อ บอกกับพี่หนุ่มว่า “ยอมทุกอย่างแล้ว.. เพราะไม่รู้ว่าตอนนี้สู้อยู่กับอะไร” …
พอตกเย็นไปออกรายการอีกรายการหนึ่ง บอสพอลกลายเป็นบิ๊กบอสผู้พร้อมที่จะลุกขึ้นมาต่อสู้กับทุกอย่าง (หรือตั้งหลักได้แล้วว่า รู้ว่าตัวเองสู้อยู่กับใคร) ทำเอาผู้ชม ผู้ติดตามดูรายการตอนเที่ยง กับตอนเย็น พลอยหัวจะปวดไปด้วย เพราะนึกว่าเป็นคนละคน บางรายการเชิญนักวิเคราะห์พฤติกรรมและใบหน้ามาให้ช่วยวิเคราะห์ ว่าการแสดงท่าทางกิริยาต่างๆจากใบหน้านั้นเป็นอย่างไร ก็เป็นที่ยากลำบากยิ่งนัก เพราะว่า บอสพอล เคยทำศัลยกรรมมาหลายครั้งมาก จนหน้านิ่งมาก ดูไม่ออก
ดิจิตอลฟุตพริ้นต์ อดีตกำลังไล่ล่า!
คลิปในอดีตถูกขุดขึ้นมาอย่างมากมาย พิธีกร ดารา นักร้อง และบอสต่างๆที่เคยไปออกรายการสารพัด ดิจิตอลฟุตพริ้นต์ คือกรรมเก่า ที่ย้อนมาให้เห็นในปัจจุบัน เล่นงานชนิดที่ว่า พิธีกรเก๋าๆรุ่นเก่า รายการดังๆ ที่เคยมีโพสต์ต่างๆว่า เคยออกรายการ รับรองว่าเป็นคนเก่งคนดีและรวยด้วยการผ่านความยากลำบาก จนสุดท้าย มาขยันถูกที่ไม่ถึงปีก็รวย พลอยสะดุ้งไปด้วย ที่หนักหน่อย ก็คือคนที่เคยโพสต์อะไรเอาไว้เอง โดยเฉพาะการ “อวดรวย” ที่จริงแล้ว ผิดถูกก็ว่ากันไปเรื่องหนึ่ง แต่พอทำอะไรให้คนหมั่นไส้ อะไรถูก อะไรผิด เลยไม่รู้ไม่สนใจ เพราะดูไม่น่าเชื่อถือไปหมด
ที่เล่ามาเป็นเรื่องราวที่ต้องติดตามกันต่อไป เพราะเมื่อเรื่องเข้าสู่ขบวนการยุติธรรม ที่มีทั้งตำรวจ มีทั้งดีเอสไอ มีอัยการ มีศาล ก็ต้องไปตามขบวนการหลักฐานและนำสืบข้อเท็จจริง ตามข้อกฎหมายก็ถือว่าทุกคนยังบริสุทธิ์เป็นเพียงผู้ต้องหา แต่ถ้าพูดทางสังคมดูเหมือนว่าโดนตัดสินไปเรียบร้อยแล้ว ในเมื่อบ้านเมืองยังมีกฎหมายก็คงต้องยึดถือกฎหมายเป็นหลัก มิเช่นนั้น ก็ไม่รู้จะยึดอะไรเหมือนกัน
ในระหว่างนี้ถ้าได้รับการประกันตัวออกมา เชื่อว่าทุกคนคงจะอยู่กันอย่างเงียบๆ คงต้องปล่อยให้ทนายทำหน้าที่แทน เพราะสังคมไทยไม่เหมือนเดิมแล้ว อะไรที่อยากรู้ต้องมีคำตอบ และหาคำตอบให้ได้เร็วไว สมกับวลีที่ว่า “เรื่องของชาวบ้านเป็นงานของเรา” แต่ครั้งนี้แตกต่างกันที่ว่า “เรื่องของชาวบ้านที่เดือดร้อน ถ้าเราปล่อยผ่านเลยไป ก็คือการปล่อยให้คนชั่วลอยนวล” ซึ่งไม่ควรสมควรให้เกิดเรื่องแบบนี้อีก คราวนี้จึงเป็นเรื่องที่สนใจของสังคมไทยทุกระดับที่จะเพิกเฉยไม่ได้
ชูวิทย์มีรายชื่อรับส่วย บอสพอลมีคลิปเทวดา
มาถึงบรรทัดนี้ จะกลับเข้าสู่ประเด็นที่เรายกชื่อ ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ มาเทียบกับบอสพอลนั้น ประเด็นสำคัญก็คือ จากผู้ต้องหา จากการเป็นผู้ร้ายในสังคม (ในขณะที่เขียนบทความนี้ เรื่องคดีดิไอคอน ยังอยู่ในกระบวนการยุติธรรม ศาลยังไม่ได้ตัดสิน) แน่นอนล่ะ ถ้าเขาทำผิด เขาก็ต้องชดใช้ในส่วนที่เขาทำผิด แต่กำลังพูดถึงเหตุการณ์เทียบเคียงกันของคนสองคน คนละกาลเวลา คนสองคนที่ “ครั้งหนึ่ง” ไม่มีอะไรจะเสียแล้ว แม้ว่าโทษของคดีอาจจะไม่เท่ากันแต่วิธีคิดอาจไม่แตกต่างกันก็ได้
ครั้งหนึ่งที่ ชูวิทย์ สามารถพลิกชีวิตและโชคชะตาของเขาก็ได้ จากเสี่ยอ่าง ภาพพจน์เสียหาย ไม่มีศีลธรรม เป็นอันธพาลบุกรื้อทำลายทรัพย์สินคนอื่น เพื่อได้คืนมาซึ่งที่ดินของตัวเอง (ขอยกเว้นเรื่องที่ดิน หลายพันล้าน ที่เคยประกาศเป็นที่ให้ใช้โดยสาธารณะระยะเวลาหนึ่ง และได้กลับมาเป็นสมบัติของตระกูลกมลวิศิษฏ์อีกครั้ง ไว้ ณ ที่นี้ เพราะไม่เกี่ยวกับสิ่งที่กำลังจะพูดถึงหรือเปรียบเทียบในครั้งนี้) ชูวิทย์ เลือกใช้การเปิดข้อมูลที่เคยกุมความลับเอาไว้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งชูวิทย์ฉลาดที่จะเลือกเล่นกับขบวนการสีกากี ซึ่งคนไทยส่วนใหญ่เชื่ออยู่แล้วว่าไม่สะอาด ในฐานะคนทำธุรกิจสีเทาเอียงไปทางด้านดำๆ อย่างธุรกิจอาบอบนวด และที่สำคัญต้องไม่ลืมว่า ชูวิทย์ คือ นักบัญชี มีดีกรีจบคณะบัญชีจากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ชูวิทย์จบมัธยมศึกษาตอนปลายที่โรงเรียนเทพศิรินทร์ ที่เด็กเทพฯ ต่างรู้กันว่าสัมพันธ์ศิษย์เก่านั้นแน่นปึ้ก! ชูวิทย์เคยเข้าศึกษาต่อที่มหาวิทยาลัยซานดิเอโกแต่ไม่สำเร็จการศึกษา
ชูวิทย์ รีแบรนด์ บอสพอล รีบอร์น?
จุดเปลี่ยนที่สำคัญช่วงหนึ่ง และเป็นจุดสำคัญในเชิงการตลาดก็คือการ “รีแบรนด์ตัวเอง” ใหม่หมด ด้วยการลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นผู้ว่าฯกรุงเทพมหานคร แม้ว่าจะไม่ได้ชนะการเลือกตั้ง แต่เป็นสนามที่เขาได้มีโอกาสออกสื่ออย่างมากมาย จนเรียกว่าใส่สีสันใหม่ ล้างคราบสีเดิมออกเกือบหมด ถ้ามองงบประมาณที่ลงทุนกับการใช้สื่อเลือกตั้งตามกฎหมาย ต้องบอกว่าคุ้มค่ายิ่งกว่าการทำการตลาดใดๆ ทั้งสิ้น เพราะจากเสี่ยอ่างอาบอบนวด กลายเป็นภาพนักต่อสู้ทางสังคม ที่เอาจุดอ่อนมาเป็นจุดแข็ง หลายคนยังจำภาพที่ชูวิทย์ทำหน้าตาถมึงทึง ถือค้อนปอนด์ทุบอ่างอาบน้ำได้ดี เหมือนได้ประกาศว่า บัดนี้เขาได้เปลี่ยนเป็นคนละคนแล้ว ถือเป็นการลงทุนที่คุ้มยิ่งกว่าคุ้ม และชาญฉลาด ที่นักการตลาดควรบันทึกไว้เป็นกรณีศึกษายิ่งนัก
หลังจากนั้น ชูวิทย์ ก็ได้เข้าสู่สนามการเมือง เขาตั้งพรรคการเมืองเอง เคยได้เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) มีการเข้าสังกัดพรรคใหม่แบบ ส.ส.บัญชีรายชื่อ หลังจากนั้น พ.ศ. 2548 โดนศาลรัฐธรรมนูญปลดออกจากการเป็น ส.ส. เพราะว่าสังกัดพรรคชาติไทยไม่ถึง 90 วัน เขาจึงไปศึกษาต่อในหลักสูตร รัฐศาสตรมหาบัณฑิต สาขาการเมืองการปกครอง คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ จนได้รัฐศาสตรมหาบัณฑิต
ช่วงชีวิตของชูวิทย์นั้น มีสีสันยิ่งนัก เขาได้เคยเข้าไปอยู่ในเรือนจำถึงสองครั้งจากคดีรื้อบาร์เบียร์ และคดีทางการเมืองเรื่องการถือครองทรัพย์สินไม่ตรงกับที่แจ้ง ปปช.เอาไว้ เขาผ่านร้อนผ่านหนาวมามาก แม้กระทั่งการติดคุกติดตะราง แต่ก็ยังสามารถเอามาเป็นเรื่องคิดทางบวกได้ วันนี้บอสทั้งหลาย ดิไอคอน กำลังนอนในดิไอคุก ไม่รู้ว่าเขากำลังคิดอะไร จะรีแบรนด์ หรือรีบอร์น เรื่องแบบนี้ถ้าอยากจะเรียนรู้ อาจต้องย้อนดูชูวิทย์ เป็นกรณีศึกษา
ความลับในมือ(ถือ)คือ กำลังภายใน
ดังนั้น สิ่งที่เขาพูดออกมาในช่วงเวลานั้นไม่ว่าจะจริงหรือไม่จริง 100% ใส่สีใส่ไข่บ้าง ไม่ว่าจะมีหรือไม่มี แต่มันคือ อิทธิพลอีกด้านหนึ่ง เป็นกำลังภายในลึกลับ ที่มิอาจประมาทพลังเหล่านั้นได้ ลองนึกดูง่ายๆ แค่ปูดเรื่องคอรัปชั่นสีกากี คนก็เชื่อไปครึ่งเมืองแล้ว แล้วถ้ายิ่งมาปูดว่าใครบ้าง? เคยไปเที่ยวอาบอบนวดด้วยแล้วล่ะก็ งานนี้ คนดีๆ ที่มีศีลธรรมอันดี อาจกระเจิด กระเจิงกันหลายตำแหน่งแน่ ทั้งที่อาจจะไม่เกี่ยวกับคอรัปชั่นก็ตาม
ข้อมูลข่าวสารที่เก็บเป็นความลับนั้น ไม่ว่าจะเป็นรูปแบบของบัญชีต่างๆ รวมถึง ยุคปัจจุบันซึ่งเป็นยุคกรรมติดจรวด เทคโนโลยีทันสมัยที่เก็บได้ทั้งภาพทั้งเสียง ทั้งระยะไกล และระยะใกล้ แค่มือถือเครื่องเดียวก็แทบจะบันทึกทุกสิ่งทุกอย่างไว้หมดแล้ว แถมยังโอนถ่ายข้อมูลไปเก็บไว้บน เซิร์ฟเวอร์ต่างๆ บนคลาวด์ต่างๆได้อีกด้วย
ยิ่งมีการแอบบันทึกคลิปต่างๆ แบบไม่มีการตั้งตัวและรู้ตัวด้วยแล้ว อะไรก็เกิดขึ้นได้หลังจากนี้ เมื่อเทียบเคียงจุดต่ำสุดในชีวิตของชูวิทย์ กับบอสพอล เขียนมาจนถึงบรรทัดนี้ ปฏิเสธไม่ได้ว่า ณ จุดนั้นกับจุดนี้ คือจุดเดียวกัน ดังนั้น สังคมไทยจึงอย่าเผลอทำเป็นว่า ลืมๆ ไป
เรื่องราวที่กำลังจะเกิดขึ้นต่อไปของมหากาพย์ดิไอคอน แค่เริ่มต้นว่า มีไมค์บันทึกเสียงซ่อนไว้ในที่ลับต่างๆ ของร่างกาย การยึดทรัพย์หน่อมแน้ม ดูเหมือนจะน้อยนิดเหลือเกิน เทียบไม่ได้กับมูลค่าความเสียหาย หรือยังไม่เท่ากับขี้เล็บความร่ำรวยที่ได้กอบโกยไป ยึดน้อยจนถึงขนาดต้องกลับไปยึดทรัพย์สินในชื่อเดิม ที่บอสพอลเคยใช้ชื่อว่า ณิชพน ทองมี หรือชื่อเล่นว่า เป้ จนมาถึงการบุกยึดอีกครั้งจากดีเอสไอ ที่ไปยึดทรัพย์ ได้นาฬิกาและทองมาเพียบ แต่มีผู้สังเกตว่าน่าจะปลอมยันกล่อง ส่วนจะปลอม หรือจริง ก็ยังไม่รู้ แค่นี้ก็เริ่มฮาแล้ว รวมถึงมีการเปลี่ยนมือทำคดี จากตำรวจไปสู่มือของดีเอสไอ ก็ขอให้เป็นการเปลี่ยนแล้วดีขึ้น ข้อครหาน้อยลง อย่าให้เปลี่ยนแล้วถูกสงสัยว่าเป็นแค่การเปลี่ยนเทวดาอย่างเด็ดขาด
ที่สำคัญอีกอย่าง คือ อย่าให้ย้อนกลับไปเหมือนในอดีต ที่มีแชร์ลูกโซ่หลอกลวงเยอะแยะ สุดท้าย ติดคุกกันไม่กี่ปี เมื่อออกจากคุกมา เจ้ามือแชร์ทั้งหมด กลับมารวยอู้ฟู่เหมือนเดิมเพียงในระยะเวลาอันสั้น บางทียอมติดคุกสักช่วงหนึ่ง แล้วออกมาใหม่ เงิน และทรัพย์สินที่ซุกซ่อนไว้ ยังมีมากกว่าทำงานอย่างสุจริตไปวันๆ เสียอีก
นับแต่นี้ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป และจะลงท้ายอย่างไร หรือจะจบแบบไม่มีอะไรเหมือนเดิม สังคมไทยคงต้องติดตามอย่างมีสติ และไม่กะพริบตา ตราบใดที่เทวดายังต้องกินต้องใช้ อะไรก็เกิดขึ้นได้ทั้งนั้น!!??
เราขอจบบทความนี้ ด้วยความคารวะถึง คุณชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ ซึ่งปัจจุบันป่วยจากโรคมะเร็งตับ คุณชูวิทย์ได้เดินทางไปรักษาตัวอยู่ที่สหรัฐอเมริกา และเดินทางกลับประเทศไทยในช่วงเวลาหนึ่ง ระหว่างกลับมาอยู่เมืองไทยหลังการป่วย ชูวิทย์ได้เคลียร์ใจกับคู่กรณีทุกคน ทุกคนต่างอโหสิกรรมซึ่งกันและกัน เป็นการบอกให้ทุกคนได้เข้าใจถึงบั้นปลายแห่งชีวิต ว่าสุดท้าย ทุกคนก็ไม่เหลืออะไร นอกจากสิ่งที่ได้สร้างเอาไว้เป็นอนุสาวรีย์แห่งชีวิตเท่านั้น
ทีมข่าวโลกวันนี้ ขอยกเป็นกรณีตัวอย่างการพลิกชีวิต จากการกุมข้อมูลความลับ การปูดส่วยของขบวนการสีกากี กับธุรกิจอาบอบนวดในอดีต ซึ่งเป็นกรณีที่น่าสนใจ มาเทียบเคียงกับกรณี สารพัดคลิปเทวดา ที่กำลังเกิดขึ้นอยู่กับบอสต่างๆ ในขณะนี้
สุดท้ายนี้ขอระลึกถึงสิ่งที่เป็นคุณูปการต่อประเทศ ที่คุณชูวิทย์ได้ก่อขึ้น ไม่ว่าจะโดยตั้งใจหรือไม่ได้ตั้งใจก็ตาม แต่ได้ทำให้เกิดสีสันอย่างมากในการเมืองของประเทศยิ่งนัก ถือเป็นกรณีตัวอย่างที่น่าศึกษา ทั้งในฐานะบุคคลการเมือง นักธุรกิจสีขาวและสีเทา นักการตลาด นักรีแบรนด์ และการดำรงอยู่อย่างครบถ้วนในทุกรสชาติของชีวิต
ว่าแต่ วันนี้คุณบันทึกคลิปสนทนา กับคนที่คุณกำลัง เอ๊ะ! เอาไว้แล้วหรือยัง?
ถ้ายังก็ไม่ต้องตกใจ เพราะคู่สนทนาของคุณอาจจะบันทึกไว้ให้คุณเรียบร้อยแล้ว!!
You must be logged in to post a comment Login