- เลือกงานให้โดน บริหารคนให้เป็น ตาม“ลัคนาราศี”Posted 18 hours ago
- ต่างศาสนา ต่างชาติพันธุ์ อยู่ร่วมกันภายใต้ความแตกต่างPosted 18 hours ago
- โลภ•ลวง•หลง เกมพลิกชีวิต รีแบรนด์หรือรีบอร์นPosted 18 hours ago
- กูไม่ใช่ไก่ต้มเว้ย! อย่ามาต้มกูเลย..Posted 18 hours ago
- หยุดความรุนแรง-ลวงโลกPosted 2 days ago
- อ.เบียร์ช่วยวัดสวนแก้วPosted 5 days ago
- เลิกเสียเงินกับเรื่องโง่ๆPosted 6 days ago
- ปัญหายาเสพติดวาระแห่งชาติPosted 7 days ago
- แก่อย่างไม่มีคุณค่าPosted 1 week ago
- “ทักษิณ” ยังมีมนต์ขลังPosted 1 week ago
ต่างศาสนา ต่างชาติพันธุ์ อยู่ร่วมกันภายใต้ความแตกต่าง
บทความพิเศษโดย ศ.กิตติคุณ ดร.สุรชาติ บำรุงสุข
บทความนี้จะทดลองนำเสนอภาพรวมของปัญหากรณีตากใบ อันเป็นประเด็นร้อนที่ปรากฏในสื่ออย่างต่อเนื่องในเวทีการเมืองที่กรุงเทพฯ จนถึงวันที่คดีดังกล่าวได้หมดอายุความลงในวันที่ 26 ตุลาคม 2567 ขณะเดียวกัน จากปัญหาที่เกิดขึ้นนั้น ก็สะท้อนให้เห็นถึงสิ่งที่เป็น “บทเรียน” ได้เป็นอย่างดี
คลื่นความรุนแรง จาก 3 เหตุการณ์
การประท้วงที่เกิดขึ้นในกรณีตากใบเป็น “ปัญหาความมั่นคง” อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เนื่องจากเป็น “คลื่นความรุนแรงลูกที่ 3” ของการก่อเหตุ ชุดใหม่ในจังหวัดชายแดนภาคใต้ในปี 2547 ที่เริ่มด้วยเหตุการณ์ปล้นปืนในเดือนมกราคม ตามมาด้วยเหตุการณ์การปะทะที่มัสยิดกรือเซะในเดือนเมษายน และต่อมาด้วยเหตุการณ์ที่หน้าสถานีตำรวจภูธร อ. ตากใบในเดือนตุลาคม เหตุการณ์ทั้ง 3 มีความเกี่ยวเนื่อง และเป็นกระแสความรุนแรงชุดเดียวกันของความพยายามที่จะขับเคลื่อนสถานการณ์ใน 3 จังหวัดด้วยความรุนแรงในช่วงปีแรกที่เริ่มด้วยการปล้นปืน
ปล่อยข่าวลือทหาร ทำร้ายประชาชน?
ในการชุมนุมประท้วงที่หน้าสถานีตำรวจภูธรอำเภอตากใบ อาจเทียบเคียงได้กับการชุมนุมต่อต้านทหารที่เกิดก่อนหน้านั้นที่ปะนาเระ และที่สุไหงปาดี ซึ่งมีวัตถุประสงค์ชัดเจนในการต่อต้านทหาร และกดดันเจ้าหน้าที่ให้ออกจากพื้นที่ พร้อมกับการปล่อยข่าวลือเรื่องทหารทำร้ายประชาชนชาวมุสลิม
ปฏิเสธไม่ได้ว่า มีจัดตั้งปลุกระดม
การเปิดการชุมนุมที่ตากใบ สอดรับกับการเคลื่อนไหวอื่นๆ ของกลุ่มต่อต้านรัฐไทย ที่มีจุดยืนที่ชัดเจนในการเรียกร้องเอกราช เพราะปฏิเสธไม่ได้ว่า การชุมนุมครั้งนี้มีลักษณะของการจัดตั้งอย่างแน่นอน และมีการดำเนินการปลุกระดมอย่างชัดเจน เพื่อชักชวนให้คนในพื้นที่เข้าร่วม และในการชุมนุมจะปลุกระดมไม่ให้มวลชนตากใบฟังคำชี้แจงของเจ้าหน้าที่รัฐ และใช้วิธีโห่ร้องเพื่อแสดงการต่อต้าน
เกิดเหตุทำเสียชีวิตแต่ไม่ใช่เจตนาฆ่า?
ต้องยอมรับในข้อเท็จจริงเบื้องต้นว่า การเสียชีวิตที่เกิด ไม่ใช่เป็นความตั้งใจของรัฐไทย (ในความหมายของการเป็นเจตนาฆ่า) ซึ่งมุ่งประสงค์ให้ชาวมุสลิมที่เป็นผู้ชุมนุมต้องเสียชีวิตแต่อย่างใด แต่การเสียชีวิตเกิดจากปัญหาการขนส่งเคลื่อนย้ายผู้ถูกจับกุมจากหน้าสถานีตากใบไปยังค่ายอิงคยุทธบริหาร ไม่ใช่เป็น “กระบวนการฆ่า” ที่เป็นความจงใจในแบบที่ถูกโฆษณา กล่าวคือ ไม่ใช่การเสียชีวิตที่เกิดจากเจตนา แต่เกิดจากความประมาทในขั้นตอนการขนส่งผู้ต้องหา ซึ่งน่าสนใจว่า ศาลมิได้พิจารณาในประเด็นนี้ แต่มุ่งเรื่องของการฆ่าคนตายโดยเจตนาเป็นประเด็นหลัก
วาทกรรม“รัฐไทยฆ่า”ที่ไม่ได้พูดถึงมุมกลับ
กรณีตากใบแตกต่างจากกรณีการเสียชีวิตจากการชุมนุมทางการเมืองในปี 2519 ปี 2535 และปี 2553 เพราะผู้เสียชีวิตไม่ได้ถูกยิงจากฝ่ายทหาร ที่เข้าไปทำหน้าที่สลายการชุมนุมแต่อย่างใด หรือมิใช่เกิดการจงใจยิงกราดใส่ฝูงชนที่ร่วมชุมนุม แต่ฝ่ายที่ต่อต้านรัฐ และบรรดาแนวร่วมมักนำเอาประเด็นนี้ไปสร้างวาทกรรมเรื่อง “การฆ่าของรัฐไทย” ต่อชาวมุสลิมในพื้นที่ตั้งแต่ยุคต้นรัตนโกสินทร์ จนถึงปัจจุบัน และในทางกลับกัน ก็จะไม่ยอมกล่าวถึงการฆ่า การสังหารอย่างโหดเหี้ยมที่กระทำต่อชาวพุทธ และเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติ
ไทยเป็น “รัฐโลกวิสัย” ไม่ใช่ “รัฐศาสนจักร”
หากมองด้วยความเป็นจริงแล้ว รัฐไทยไม่เคยมีทิศทางการดำเนินนโยบายในลักษณะเช่นนั้น เนื่องจากรัฐไทยไม่มีสถานะเป็น “รัฐศาสนจักร” ที่ถือเอาศาสนิกต่างความเชื่อเป็น “ศัตรูทางการเมือง” ที่ต้องกวาดล้าง และชัดเจนในทางรัฐศาสตร์ว่า รัฐไทยเป็น “รัฐโลกวิสัย” (secular state) ที่ไม่เน้นในเรื่องของศาสนาอย่างสุดโต่ง จึงไม่มีความจำเป็นในการดำเนินนโยบายแบบต่อต้านคนในศาสนาอื่น หรือต้องการทำลายล้างผู้ที่มีศรัทธาทางศาสนาที่แตกต่างกัน และไม่ได้ดำเนินนโยบายที่ปฏิบัติต่อคนในพื้นที่ในฐานะ “พลเมืองชั้น 2” อย่างที่ถูกสร้างเป็นวาทกรรม (เพราะในทางกลับกัน คนพุทธต่างหากที่รู้สึกตนเป็นพลเมืองชั้น 2 เพราะรัฐไม่ให้ความสำคัญ หรือบางส่วนมีความรู้สึกคล้ายกันว่า “รัฐไทยทอดทิ้งคนพุทธ”)
เป็นการต่อสู้ระหว่างรัฐไทย vs บีอาร์เอ็น.
จากปัญหาความรุนแรงชุดใหม่ที่เกิดในจังหวัดชายแดนภาคใต้ของไทยที่เริ่มจากเหตุการณ์ปล้นปืนในวันที่ 4 มกราคม 2547 จนถึงปัจจุบัน ต้องยอมรับว่า เป็นภาพสะท้อนที่ชัดเจนของการต่อสู้ระหว่าง “รัฐไทย vs. บีอาร์เอ็น.” อันส่งผลให้ปัญหาตากใบกลายเป็นส่วนหนึ่งของการต่อสู้ครั้งนี้อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ อีกทั้งมีความชัดเจนว่า สงครามของ บีอาร์เอ็น. เป็น “สงครามเอกราช” ไม่ใช่การเรียกร้องเพื่อการปกครองตนเอง และพวกเขามองว่า การปกครองตนเองคือ เส้นทางสู่ความเป็น “รัฐเอกราช” ในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ไม่ใช่ข้อเรียกร้องเรื่องการปกครองตนเองเพื่อยุติปัญหาความขัดแย้งในพื้นที่
เป้าหมายการต่อสู้ เพื่อ “แยกดินแดน”
ต้องยอมรับความจริงพื้นฐานว่า ขบวนติดอาวุธบีอาร์เอ็น. ดำเนินการต่อสู้เพื่อต้องการสร้าง “รัฐเอกราช” ด้วยจินตนาการทางประวัติศาสตร์ในการรื้อฟื้น “รัฐปัตตานี” ที่เคยมีบทบาทในพื้นที่ในช่วงก่อนยุคอาณานิคม ความต้องการเช่นนี้ปรากฏให้เห็นชัดจากเอกสารที่ถูกยึดหรือเผยแพร่ จากการปลุกระดม หรือจากการพ่นสีในพื้นที่การเคลื่อนไหว สิ่งเหล่านี้ยืนยันชัดเจนถึงเป้าหมายการต่อสู้คือ เพื่อ “แยกดินแดน” ในการสร้างรัฐเอกราชใหม่
ควรประกาศ บีอาร์เอ็น.เป็นองค์กรผิดกฎหมาย
ในสถานการณ์การก่อความไม่สงบในภาคใต้เช่นนี้ จึงต้องถือว่า “ขบวนการบีอาร์เอ็น.” เป็นขบวนการที่เป็น “ภัยคุกคามหลัก” ของปัญหาความมั่นคงใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ เพราะได้ทำการก่อเหตุด้วยความรุนแรงที่นำไปสู่การเสียชีวิตของประชาชน และเจ้าหน้าที่ในพื้นที่เป็นจำนวนมาก และคนที่เสียชีวิตส่วนใหญ่เหล่านี้ เป็น “คนพุทธ” ดังนั้น จึงควรประกาศให้ชัดเจนว่า “บีอาร์เอ็น. เป็นองค์กรผิดกฎหมาย”
ผู้ก่อเหตุร้ายมีตัวตนไม่ใช่ “ทหารผี”
การกล่าวถึงขบวนการบีอาร์เอ็น. แล้วเกิดความกลัว ด้วยเหตุผลในแบบเก่าว่า การเอ่ยชื่อจะนำไปสู่การยกระดับปัญหานั้น เราอาจจะต้องยกเลิกวิธีคิดในลักษณะดังกล่าว เพราะในความเป็นจริงแล้ว การไม่ระบุชื่อขององค์กรที่เปิดปฏิบัติการก่อการร้ายในพื้นที่ จะกลายเป็นความได้เปรียบขององค์กรนั้น เพราะทำให้ไม่ชัดเจนในเชิงข้อมูลและความรับรู้ของสังคมว่า ใครเป็นผู้ก่อเหตุร้าย ดังนั้น จึงน่าจะถึงเวลาที่สังคมไทยโดยรวมควรต้องรับรู้เรื่องเช่นนี้แล้ว เพราะผู้ก่อเหตุร้ายไม่ใช่ “ทหารผี” ที่ไม่สามารถระบุตัวตนได้
ไม่มีรัฐบาลพรรคไหน ยอมให้ไทยเสียดินแดน
รัฐไทยด้วยความเป็น “รัฐสมัยใหม่” เช่นรัฐในวิชารัฐศาสตร์ทั้งหลาย มี “ความจำเป็นในทางธรรมชาติ” ที่ต้องพยายามรักษา “บูรณภาพแห่งดินแดน” อันเป็นดินแดนที่ถูกนำเข้ามารวมในกระบวน การสร้าง “รัฐสยามสมัยใหม่” ฉะนั้น ไม่ว่าพรรคการเมืองใด จะมีจุดยืนแบบใด เมื่อเข้ามาเป็นรัฐบาลแล้ว ก็จะต้องรับภารกิจเช่นนี้ไม่แตกต่างกัน เพราะไม่มีรัฐบาลใดอยากถูกบันทึกในประวัติศาสตร์ว่า เป็นผู้ที่ทำให้เสียดินแดน เช่นเดียวกัน ไม่มีพรรคการเมืองใดอยากมีประวัติในทางการเมืองว่า เป็นพรรคที่ตกเป็นจำเลยในเรื่องของการแบ่งแยกดินแดน แม้แต่พรรคที่ซ้ายที่สุดอย่างพรรคคอมมิวนิสต์โซเวียตและจีนนั้น สิ่งแรกที่พรรคเร่งทำหลังจากการได้อำนาจรัฐ คือ การจัดการปัญหาดินแดนอาณาเขตของรัฐตน
รัฐเอกราชปัตตานี สงครามการทหาร
การต่อสู้ของขบวนการติดอาวุธบีอาร์เอ็น. ที่ต้องการสร้าง “รัฐเอกราชปัตตานี” จึงดำเนินการต่อสู้ในทุกรูปแบบ ซึ่งโดยพื้นฐานคือ การเปิด “สงครามการทหาร” ที่ใช้การก่อเหตุร้ายเป็นเครื่องมือในการทำลายอำนาจทางทหารของรัฐไทย และทำร้ายประชาชน โดยเฉพาะชาวพุทธในพื้นที่ การก่อการร้ายจึงเป็นเครื่องมือหลักในการทำลายขวัญกำลังใจของหน่วยทหาร และสร้างความกลัวแก่ประชาชนในพื้นที่
โฆษณาทางการเมือง เคลื่อนไหว..ไม่ปิดลับ
รูปแบบการต่อสู้คู่ขนานของบีอาร์เอ็น. คือ “สงครามการเมือง” ที่ใช้การต่อสู้ด้วยมาตรการทางการเมือง ในหลากหลายรูปแบบ และเปิด “แนวรบใหม่” ในเวทีการเมืองด้วยการสร้างแนวร่วมในภาคส่วนต่างๆ ของสังคมการเมืองไทย อีกทั้งยังเปิด “การโฆษณาทางการเมือง” อย่างกว้างขวาง เพื่อสร้างให้เกิดการตอบรับต่อข้อเรียกร้องของขบวนการบีอาร์เอ็น. จากกลุ่มการเมืองในสังคม และไม่ใช่การเคลื่อนไหวแบบปิดลับ
รัฐไทยจำเลยตลอดไป ไม่มีวันหมดอายุความ
ในสถานการณ์ปัจจุบันนั้น ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า ปัญหาตากใบกลายเป็นประเด็นที่สร้าง “ความเป็นจำเลย” ของรัฐไทย จากการเสียชีวิตของผู้ร่วมชุมนุม และหลังจากการสิ้นอายุความแล้ว กรณีตากใบจะยังคงเป็นประเด็นที่จะถูกนำมาใช้ต่อเนื่องในอนาคตสำหรับการโฆษณาทางการเมืองทั้งในประเทศ และนอกประเทศ
รัฐอัมพาต..ล่าช้า ถอยทางการเมือง
ในท่ามกลางความร้อนแรงของสถานการณ์ก่อนการหมดอายุความนั้น รัฐบาล กองทัพ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกลับมีความล่าช้าอย่างมากในการชี้แจงให้สังคมวงกว้างได้รับทราบข้อมูลต่างๆ โดยเฉพาะประเด็นทางกฎหมายและข้อโต้แย้งทางคดีความ ซึ่งความล่าช้าดังกล่าว จึงเสมือนกับเกิดอาการ “รัฐอัมพาต” หรือเป็นดัง “การถอยทางการเมือง” ของฝ่ายรัฐ เพราะไม่ทำหน้าที่ในการให้ข้อมูลแก่ประชาชน
แสดงความรับผิดชอบในรูปแบบแตกต่างกัน
ข้อสังเกตของบทความนี้ในอีกด้าน มิได้หมายความว่า รัฐและสังคมไทยจะไม่รับรู้หรือละทิ้งประเด็นการเสียชีวิตที่เกิดขึ้นจากการชุมนุม แต่จากการเสียชีวิตของคนเป็นจำนวนมากเช่นนี้ รัฐบาลในแต่ละช่วงเวลาได้แสดง “ความรับผิดชอบ” ในรูปแบบที่แตกต่างกัน และมิได้มีท่าทีที่ละเลยต่อเหตุการณ์ดังกล่าว
รัฐไทยประนีประนอมรับผิดชอบ 7 ลักษณะ
การแสดงความรับผิดชอบที่สำคัญในความเป็นรัฐบาลในการจัดการปัญหาการเสียชีวิตกรณีตากใบใน 7 ลักษณะ คือ 1.การตั้งคณะกรรมการอิสระ เพื่อแสวงหาความจริงในสมัยรัฐบาลนายกฯ ทักษิณ ชินวัตร 2.การประกาศขอโทษในสมัยรัฐบาลพลเอกสุรยุทธ์ จุลานนท์ 3.การนำคดีเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมถึง 4 ศาล 4.การใช้กระบวนการยุติธรรมสมานฉันท์เพื่อไกล่เกลี่ยและคลี่คลายคดี โดยรัฐเป็นฝ่ายประนีประนอม ทั้งการถอนฟ้องแกนนำ และการจ่ายค่าเสียหายทางแพ่ง 5.ให้มีการไต่สวนคดีการเสียชีวิตของผู้ชุมนุม ดำเนินในศาลถึง 5 ปี 6.หลังจากคดีไต่สวนการเสียชีวิตสิ้นสุดลง จึงเข้าสู่กระบวนการเยียวยาแก่ผู้เสียหายและครอบครัวในสมัยรัฐบาลนายกฯ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร และ 7.การกล่าวคำขอโทษอีกครั้งของนายกฯ แพทองธาร ชินวัตร
การดำเนินการใน 7 ส่วนนี้ อย่างน้อยเป็นเครื่องยืนยันในเบื้องต้นว่า รัฐไทยไม่ได้ปล่อยปละละเลยกับปัญหาที่เกิดขึ้น หรือไม่ได้แสดงความรับผิดชอบในเรื่องดังกล่าว หากแต่พยายามที่จะหาทางประนีประนอมเพื่อให้ปัญหาการก่อความไม่สงบได้คลายตัวออก และลดระดับความรุนแรงลง
การแสดงความรับผิดชอบของรัฐ ยืนอยู่บนหลักการของ “ยุติธรรมสมานฉันท์” ที่รัฐมีท่าทีประนีประนอมยอมความ เพื่อให้คดียุติโดยไม่ใช่การพิสูจน์ “คนถูก-คนผิด” ในแบบปกติ และทั้งไม่ใช้ข้ออ้างถึงอำนาจคุ้มครองการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ในพื้นที่ประกาศกฎอัยการศึกแต่อย่างใด เพราะพื้นที่ที่เกิดเหตุนั้น เป็นพื้นที่ภายใต้กฎอัยการศึก ซึ่งการฟ้องคดีตามปกติอาจจะทำไม่ได้ แต่รัฐก็มิได้ใช้สิทธิ์ทางกฎหมายนี้ แนวทางนี้จึงสะท้อนถึงการประนี ประนอม ซึ่งควรกำหนดเป็นทิศทางหลักของการอำนวยความยุติธรรมในพื้นที่ภาคใต้
ปล่อยข้อมูลด้านเดียว ถูกรัฐบาลปล่อยเกาะ?
มีข้อน่าสังเกตอย่างมีนัยสำคัญว่า ในภาวะที่ไม่เห็นชัดถึงการสั่งการของฝ่ายการเมือง และของผู้บังคับบัญชาในระดับบนนั้น ทำให้เจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติงานใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ รู้สึกว่าพวกเขากำลัง “ถูกปล่อยเกาะ” หรือเกิดมุมมองว่า ฝ่ายรัฐมีท่าทียอมจำนน และปล่อยให้เกิด “ข้อมูลด้านเดียว” ออกสู่สังคมแบบไม่โต้แย้ง โดยไม่มีคำชี้แจงถึงปัญหาและข้อขัดข้องที่เกิดในการขนย้ายผู้ถูกจับกุมในวันเกิดเหตุ ซึ่งต้องยอมรับว่า การก่อกระแสตากใบที่กรุงเทพฯ ครั้งนี้ ทำลายขวัญและกำลังใจของเจ้าหน้าที่อย่างมาก และอาจจะมากกว่าที่รัฐบาล กองทัพบก หรือกองทัพภาคที่ 4 คิด เพราะเจ้าหน้าที่ทหารชั้นผู้น้อยที่เป็นพลขับในวันนั้น ตกเป็นจำเลยร่วมไปด้วย โดยไม่มีคำอธิบายถึงการปฏิบัติหน้าที่ของพวกเขาในฐานะ “คนขับรถ” ซึ่งน่าสนใจว่า สำนักงานอัยการสูงสุดวินิจฉัยปัญหานี้บนพื้นฐานอะไร และฝ่ายทหารเองก็ไม่ชี้แจงประเด็นนี้
หลายการตายที่ไร้เสียง กำลังจะหมดอายุความ
ในอีกด้านของปัญหา เราเห็นชัดถึงคดีอาญาความมั่นคงที่เกิดจากการกระทำของผู้ก่อความไม่สงบ ที่มีจำนวน 1,789 หมายจับนั้น มีผู้หลบหนีรวมทั้งสิ้น 1,067 คน และคดีส่วนใหญ่เป็นคดีอุกฉกรรจ์ และมีคดีที่หมดอายุความแล้ว 140 หมาย (การเรียกร้องให้ต่ออายุความคดีตากใบ จึงอาจทำให้เกิดข้อเรียกร้องในทำนองเดียวกันถึงการต่ออายุคดีการก่อความไม่สงบด้วย)
ในรอบ 20 ปีที่ผ่านมา ซึ่งผู้เสียชีวิตส่วนใหญ่เป็นพี่น้องที่นับถือศาสนาพุทธ หรือเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ ผู้เสียชีวิตจากการก่อเหตุของขบวนติดอาวุธในพื้นที่เหล่านี้มีเป็นจำนวนมาก แต่ความสูญเสียนี้ดูจะไม่ค่อยได้รับความสนใจเท่าใดนัก จนเป็นเหมือน “การตายที่ไร้เสียง” และในหลายกรณี เป็นการฆ่าอย่างทารุณโหดร้าย ดังจะเห็นจากสถิติว่าจากปี 2547 – สิงหาคม 2566 มีเหตุรุนแรงเกิดทั้งหมด 9,657 ครั้ง เสียชีวิต 5,868 คน เป็นเจ้าหน้าที่รัฐ 2,251 คน และเป็นประชาชน 3,617 คน บาดเจ็บ 12,657 คน พิการ 887 คน และรวมงบประมาณในการเยียวยาที่ได้จ่ายไปแล้วรวมทั้งสิ้น 4,278,396,274 บาท (ตัวเลขของ ศอ.บต.)
มุ่งสร้างรัฐเอกราชใหม่ ยังคงดำเนินอยู่ต่อไป
การแสวงหาทางออกของการอยู่ร่วมกันอย่างสันติยังคงเป็นประเด็นสำคัญเสมอ และทางออกนี้จะยังไม่เกิดได้ในระยะสั้น กล่าวคือ แม้ว่าคดีตากใบจะจบลงแบบหมดอายุความ ก็ไม่ใช่ “เงื่อนไขหลัก” ที่จะทำให้การก่อความไม่สงบในภาคใต้สิ้นสุดลง หรือลดระดับความรุนแรงลงได้จริง ตราบเท่าที่การก่อความไม่สงบยังคงดำเนินต่อไป ด้วยความเชื่อพื้นฐานในเรื่องของ “การสร้างรัฐเอกราชใหม่ด้วยกำลังอาวุธ”
สัญญาณนาฬิกาปลุก เตือนยุทธศาสตร์ภาคใต้
ในอีกด้านหนึ่งของปัญหา หลังจากต้องเผชิญกับการโหมกระแสตากใบอย่างหนักแล้ว น่าจะเป็น “สัญญาณนาฬิกาปลุก” ที่ดีในการกระตุ้นเตือนให้รัฐบาลต้องหันมาใส่ใจกับการกำหนด “ยุทธศาสตร์ภาคใต้” ให้เกิดขึ้นอย่างจริงจังเสียที เพราะจะต้องตระหนักเสมอว่า การยุติการก่อความไม่สงบของขบวนการติดอาวุธในทุกพื้นที่ทั่วโลก ไม่อาจเกิดขึ้นได้โดยปราศจากการมี “ยุทธศาสตร์ที่ดี” เช่นที่รัฐไทยเคยมีประสบการณ์มาแล้วในการกำหนด “ยุทธศาสตร์เพื่อเอาชนะสงครามคอมมิวนิสต์” จากรูปธรรมของคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรีที่ 66/2523 และ 65/2525
การเจรจาสันติภาพในภาคใต้ จะยังคงเป็นปัญหาที่ต้องเผชิญต่อไป “สงครามการเมืองบนโต๊ะเจรจา” จะยังคงเป็นความท้าทายที่สำคัญของรัฐไทยต่อไปในอนาคต ดังเช่นที่เป็นความท้าทายมาแล้วในอดีต
ท้ายบท :
การนำเสนอเช่นนี้ มิได้หมายความว่า ผู้เขียนไม่ให้ความสำคัญกับการเสียชีวิตและบาดเจ็บที่เกิดขึ้น หากแต่ต้องการเสนออย่างสังเขปถึงสิ่งที่ประเด็น ปัญหา ข้อคิด และบทเรียน จากปรากฏการณ์ของความรุนแรงชุดใหม่ที่เริ่มต้นจากปล้นปืน 2547 จนถึงกรณีคดีตากใบ 2567 เพราะอย่างที่เรากล่าวกันเสมอว่า ปัญหาทุกเรื่องไม่ได้ดำรงอยู่แบบด้านเดียว … ปัญหาตากใบก็ไม่มีด้านเดียวดังเช่นที่ถูกนำเสนอและประกอบสร้างในปัจจุบันแต่อย่างใด และที่สำคัญปัญหาความรุนแรงใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ก็ไม่เคยดำรงอยู่แบบด้านเดียวเช่นกัน
ดังนั้น การคิดและการมองปัญหาการก่อความไม่สงบในภาคใต้ จึงอาจต้องคิดในแบบที่มีกรอบ “ยุทธศาสตร์ใหญ่” และ “ยุทธศาสตร์ย่อย” คู่ขนานกันไป ด้วยวัตถุประสงค์ประการเดียวคือ การยุติความรุนแรงในพื้นที่ให้ได้ เพื่อที่ “ศาสนิกต่างความเชื่อ” จะสามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างสันติ หรือที่เป็นเข็มมุ่งในการแก้ปัญหาความขัดแย้งที่มี มิติชาติพันธุ์ทับซ้อนคือ จะต้องสร้างให้ประชาชน “ต่างศาสนา-ต่างชาติพันธุ์” สามารถ “อยู่ร่วมกันภายใต้ความแตกต่าง” ทางสังคม (หรือหลักการ ”unity among diversity”)
แน่นอนว่า การดำเนินการเพื่อให้ประสบความสำเร็จทางยุทธศาสตร์เช่นนี้ย่อมไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะขบวนการบีอาร์เอ็น. มีความต้องการหลักประการเดียวคือ การสร้างรัฐเอกราชใหม่ และความต้องการเช่นนี้ดำเนินการด้วยการก่อการร้ายและการก่อความไม่สงบในพื้นที่ควบคู่กันไป
ในสภาวะเช่นนี้ สงครามก่อความไม่สงบในภาคใต้จึงเป็น “ความท้าทายด้านความมั่นคง” ที่แหลมคมเป็นอย่างยิ่งในสถานการณ์ปัจจุบัน และท้าทายความสามารถของรัฐบาลทั้งในปัจจุบันและอนาคตเป็นอย่างยิ่งด้วย !
“สภาพสงครามที่ ต่างกันย่อมกำหนดกฎการชี้นำสงครามที่ต่างกัน คือ แตกต่างกันทั้งในด้านเวลา สถานที่ และลักษณะ …ด้วยเหตุนี้กฎแห่งสงครามจึงต่างก็มีลักษณะพิเศษของมันจะนำไปใช้กับขั้นที่ต่างกันอย่างตายตัวไม่ได้ … จะนำไปใช้แทนซึ่งกันและกันอย่างตายตัวไม่ได้”
ประธานเหมาเจ๋อตุง
ธันวาคม 1936
ผู้เขียน :ศ.กิตติคุณดร.สุรชาติ บำรุงสุข อดีตอาจารย์ประจำภาควิชาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ คณะรัฐศาสตร์ จุฬาฯ แม้จะเกษียณราชการแล้ว แต่ยังคงเป็นอาจารย์พิเศษ และวิทยากรรับเชิญ นอกจากเป็นนักวิชาการแล้ว ยังเป็น คอลัมนิสต์ประจำ หนังสือพิมพ์ชื่อดัง และยังเขียนให้โลกวันนี้อีกด้วย เป็นหนึ่งในคนเดือนตุลา สมัยเป็นผู้นำนิสิตจุฬาฯ เคยถูกจองจำ ที่เรือนจำกลางบางขวาง จากการต่อสู้ จากความคิดทางการเมือง ในกรณี 6 ตุลาคม 2519 และยังเป็นผู้เชี่ยวชาญ ด้านวิชาการยุทธศาสตร์ ทางการทหารและกองทัพ ผู้คลุกคลีอยู่กับข้อเสนอ ในการสร้าง “ทหารอาชีพ” มายาวนานหลายทศวรรษ
You must be logged in to post a comment Login