- ว่าด้วย “นิสมฺม กรณํ เสยฺโย”Posted 17 hours ago
- สร้างบารมีพาอยู่เย็นเป็นสุขPosted 2 days ago
- ต้องทำชีวิตให้ดีกว่าเก่าPosted 3 days ago
- สิ่งที่อยากเห็นในปี 68Posted 6 days ago
- เล่นอะไรที่สร้างสรรค์ดีกว่าPosted 7 days ago
- ปีใหม่ขอให้มีสติปัญญาใหม่ๆPosted 1 week ago
- ความรู้วิเศษช่วยลดทุกข์Posted 1 week ago
- แก้สันดานหัวดื้อให้หายดื้อPosted 1 week ago
- ลองเป่าเศรษฐกิจให้โป่งทีPosted 2 weeks ago
- วัดสวนแก้วจัดงานต้อนรับปีใหม่Posted 2 weeks ago
แพทย์เตือนโรคอ้วนในเด็กถึงจุดวิกฤติ สถิติอ้วน 2 เท่าของรุ่นพ่อแม่ ชี้เด็กอ้วน โตไปส่วนใหญ่จะไม่ผอมเอง แต่จะเป็นผู้ใหญ่ที่ทั้งอ้วนทั้งป่วย
ในโอกาสวันเด็ก ปี 2568 เครือข่ายต้านโรคไม่ติดต่อ หรือ NCDs ออกโรงกระตุ้นเตือนภัยโรคอ้วนในเด็กถึงจุดวิกฤติ และเมื่อโตขึ้นจะยังคงอ้วนและมีโอกาสเป็นโรคไม่ติดต่อสูงมาก หากไม่แก้ไขในอีก 5 ปี คนไทยอายุ 20 ปีขึ้นไป 1 ใน 2 คน จะทั้งอ้วนทั้งป่วย เสนอกระทรวงสาธารณสุขผลักดันกฎหมายคุมการตลาดอาหารที่จูงใจเด็กกินหวาน มัน เค็ม เพื่อลดปัญหาโรคอ้วนในเด็กไทย
รศ.นพ.เพชร รอดอารีย์ นายกสมาคมเครือข่ายโรคไม่ติดต่อไทย ( Association of Thai NCDs Alliance) เปิดเผยว่า ปัจจุบันภาวะอ้วนในเด็กเพิ่มขึ้นสองเท่าเทียบกับเมื่อ 10 ปีก่อน ปัจจัยสำคัญคือการบริโภคอาหารและเครื่องดื่มที่มี น้ำตาล ไขมัน และโซเดียมสูง โดยส่วนหนึ่งเพราะเด็กถูกกระตุ้นพฤติกรรมบริโภคจากโฆษณาและการตลาดที่ใช้เทคนิคโน้มน้าวจูงใจ ทำให้เด็กเกิดความต้องการซื้อและเกิดการบริโภคอาหารหวานมันเค็มมากเกินไปจนเกิดโทษแก่ร่างกาย และยังเป็นการสร้างนิสัยการกินที่ผิด ๆ ซึ่งแก้ไขได้ยากในระยะยาว ประกอบกับผู้ใหญ่บางส่วนเข้าใจผิดว่า เด็กอ้วน เมื่อโตขึ้นก็จะผอมเอง จึงยินยอมซื้ออาหารและเครื่องดื่มที่มีน้ำตาล ไขมัน และโซเดียมสูงเกินมาตรฐานให้เด็กบริโภค ซึ่งเป็นความเชื่อที่ผิด
จากการศึกษาพบว่า ผู้ใหญ่ที่อ้วนร้อยละ 55 เคยอ้วนตอนเป็นเด็ก ดังนั้น เด็กอ้วนจึงมีความเสี่ยงที่จะโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่ที่อ้วนและเจ็บป่วยด้วยโรค NCDs ตั้งแต่อายุยังน้อย หากไม่แก้ไขอีก 5 ปี คนไทยอายุ 20 ปีขึ้นไป 1 ใน 2 จะเป็นโรคอ้วน
นายกสมาคมเครือข่ายโรคไม่ติดต่อไทย กล่าวอีกว่า การตลาดเป็นปัจจัยสำคัญที่กระตุ้นให้เกิดพฤติกรรมซื้อและบริโภคอาหารที่มีไขมันน้ำตาลและโซเดียมมากขึ้น ปัจจุบันผู้ผลิตและจำหน่ายใช้เทคนิคการตลาด เช่น การโฆษณาการใช้เนื้อหาที่ดึงดูดใจ การจำหน่ายในสถานศึกษา การจำหน่ายแบบตรงและออนไลน์ การจูงใจด้วยราคา การแลก แจก แถม ชิงโชค การสนับสนุนกิจกรรมของเด็ก การบริจาคอาหารสินค้าตัวอย่างให้เข้าถึงเด็กในโอกาสต่าง ๆ โดยหวังผลด้านสร้างภาพลักษณ์และเพิ่มยอดขายแก่ผลิตภัณฑ์
จากการวิจัยพบว่า เด็กไทยประมาณ 70-80% พบเห็นสื่อและเทคนิคการตลาดอาหารเหล่านี้ในชีวิตประจำวันจนชินตา และเลือกซื้อโดยไม่ได้คำนึงถึงผลกระทบต่อสุขภาพ ซึ่งในปัจจุบันประเทศไทยยังไม่มีมาตรการควบคุมการตลาดอาหารและเครื่องดื่มที่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพเด็กตามแนวทางเพื่อการยุติโรคอ้วนในเด็กในระดับสากล (Ending Children Obesity : ECHO) ขององค์การอนามัยโลก
ดังนั้น เพื่อเป็นการแก้ไขปัญหาโรคอ้วนในเด็กและป้องกันโรคไม่ติดต่ออย่างยั่งยืน เครือข่ายโรคไม่ติดต่อไทยร่วมกับกรมอนามัยและภาคีสุขภาพ ได้ยกร่างกฎหมายควบคุมการโฆษณาและการตลาดอาหารและเครื่องดื่มที่มีผลกระทบต่อสุขภาพเด็ก เพราะมีหลักฐานทางวิชาการชัดเจนว่าการใช้กฏหมายที่เข้มแข็งควบคุมการโฆษณาการตลาดอาหารที่ไม่ผ่านเกณฑ์มาตรฐานทางโภชนาการที่เหมาะสมนั้น จะส่งผลดีต่อการแก้ปัญหาโรคอ้วนในเด็กอย่างชัดเจน โดยร่างกฎหมายนี้จะมีเนื้อหาสำคัญ เช่น ห้ามทำการโฆษณาที่มีลักษณะโน้มน้าวจูงใจเด็ก ห้ามทำการแลก แจก แถม ชิงรางวัล ห้ามบริจาคอาหารหรือขนมเหล่านี้ในกิจกรรมของโรงเรียนเพราะเป็นการสนับสนุนที่เชื่อมโยงกับสินค้าโดยตรง ห้ามทำกิจกรรมการตลาดออนไลน์ เป็นต้น ซึ่งร่างกฎหมายนี้ยกร่างมากว่า 3 ปี และผ่านการประชาพิจารณอย่างกว้างขวางแล้ว เมื่อประกาศใช้ จะเป็นเครื่องมือปกป้องเด็กจากการบริโภคที่ไม่เหมาะสมที่ไม่อาจรู้เท่าทันเทคนิคทางการตลาด เพื่อให้สังคมไทยมีความเข้มแข็งทางสังคมและเศรษฐกิจด้วยการมีสุขภาพที่แข็งแรงเป็นพื้นฐาน “สาเหตุของโรคอ้วนและโรคไม่ติดต่อเกิดจากการบริโภคอาหารที่มีความหวานมันเค็มสูงเป็นปัจจัยหลักถึงร้อยละ 80 ร่วมกับปัจจัยอื่น ๆ เช่น การไม่ออกกำลังกาย ภาวะเครียด เป็นต้น
ปัจจุบันพบผู้ป่วยที่อ้วนและป่วยเป็นโรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง โรคหลอดเลือดหัวใจ และเสียชีวิตตั้งแต่อายุยังไม่ถึง 40 ปี เพิ่มมากขึ้นอย่างชัดเจน ซึ่งสมาพันธ์โรคอ้วนนานาชาติ คาดการณ์ในอีก 6-7 ปี ข้างหน้า จะเกิดภาระทางด้านค่ารักษาพยาบาลและความเสียหายทางเศรษฐกิจมากกว่า 7 แสนล้านบาท” รศ.นพ.เพชร กล่าว
You must be logged in to post a comment Login