- เสียงชื่นชมดีกว่าเขาด่าPosted 17 hours ago
- ต้องใช้ยาแรงกับคนขายชาติPosted 1 day ago
- บทเรียนผู้เห็นกงจักรเป็นดอกบัวPosted 2 days ago
- ความรักผลักดันให้สำเร็จในชีวิตPosted 5 days ago
- จะรักใคร พึงสังวรให้ดีPosted 6 days ago
- ทำมาฆะให้ได้ผลมากกว่าทุกปีPosted 1 week ago
- หมดสภาพความเป็นมนุษย์Posted 1 week ago
- ใช้ไม้นวมก่อนแล้วใช้ไม้แข็งPosted 1 week ago
- แก่ไม่หลอมหล่อความดีPosted 2 weeks ago
- ต้องปิดนิสัยคนเชื่อง่ายPosted 2 weeks ago
คนรุ่นใหม่ที่แท้ ไม่เกาะกระแสแบรนด์เนม

ผู้เขียน : ดร.โสภณ พรโชคชัย
(โลกวันนี้รายวัน ประจำวันที่ 11 ก.พ. 68)
ระยะนี้เห็นคลิปเผยแพร่เกี่ยวกับชีวิตฟุ่มเฟือยของคนหนุ่มสาว ซึ่งจะทำให้อนาคตพังพินาศได้ เป็นภัยต่อชาติ ดร.โสภณในฐานะผู้ประเมินค่าทรัพย์สินจึงขอมาพูดถึงเรื่องสินค้าแบรนด์เนมและชีวิตที่มีความหมายของเยาวชน-คนรุ่นใหม่
ดร.โสภณ พรโชคชัย ประธานศูนย์ข้อมูลวิจัยและประเมินค่าอสังหาริมทรัพย์ไทย บจก.เอเจนซี่ ฟอร์ เรียลเอสเตท แอฟแฟร์ส (www.area.co.th) ได้เห็นคลิปที่น่าสลดใจ 2 คลิป
1. คลิปที่นักศึกษาธรรมศาสตร์บางคนบอกว่าตนเองใช้เงินในระหว่างเรียนปริญญาตรีประมาณ 5-10 ล้านบาทไปในเรื่องที่ไม่มีแก่นสารเท่าที่ควร ซึ่ง ดร.โสภณ มองว่าเราควรส่งเสริมให้เยาวชนคนหนุ่มสาวใช้ชีวิตที่เรียบง่าย ส่งเสริมการสัมภาษณ์เผยแพร่แนวคิดดีๆ แบบนี้บ้าง ไม่ใช่มุ่งให้คนฟุ้งเฟ้อเห่อเหิม
2. คลิปที่สาวๆ ในย่านสยามสแควร์ถือกระเป๋าแบรนด์เนมในละหลายหมื่นถึงหลายแสนบาท ซึ่งแบรนด์เหล่านี้มีค่าปานนั้นจริงหรือไม่ ดร.โสภณ ในฐานะผู้ประเมินค่าทรัพย์สินจะได้นำมาวิพากษ์ให้ทราบ
การเขียนเรื่องคนหนุ่มสาวนั้น อาจดูห่างไกลจากการเป็นผู้สูงวัยเช่น ดร.โสภณที่มีอายุถึง 67 ปีแล้ว แต่คนหนุ่มสาวทั้งหลายไม่ว่าจะเป็นยุคไหนก็มีลักษณะทั่วไปคล้ายๆ กัน ซึ่งอาจทำให้พลาดได้ กรณีนี้คล้ายวัฏจักรที่เราสามารถเห็นได้ว่าไม่ได้มีอะไรใหม่สำหรับคนหนุ่มสาวนัก โดยคนหนุ่มสาวมักมีลักษณะต่อไปนี้
1. Hedonism คือเน้นความสุขสนุกสนานชั่วแล่น ดูความสุขเฉพาะหน้า ชมชอบการเสพสุขเป็นอย่างยิ่ง ดังนั้นคนหนุ่มสาวทั้งหลายจึงชมชอบการรวมกลุ่มกันดื่มเหล้าและเพาะนิสัยนี้จนตายไปเลยก็มี พวกนี้อาจไม่คิดถึงวันข้างหน้ามากนัก แต่คนที่หลุดพ้นจากความสุขชั่วคราวนี้ได้ก็จะสามารถเข้าสู่ชีวิตปกติสุขและเจริญก้าวหน้าได้ในที่สุด ถ้าไม่หลุดพ้น ก็คงมีแต่ตกต่ำ
2. Self-centredness คือการเอาตัวเองเป็นศูนย์กลางของจักรวาล นึกถึงแต่ประโยชน์ของตนเป็นที่ตั้ง ไม่ค่อยใส่ใจเรื่องอื่นมากนัก เข้าทำนอง “ตะปูตำเท้าตัวเดียว ก็ลืมโลกไปทั้งโลก” คนหนุ่มสาวยุคใหม่จึงควรมีความคิดปฏิวัติใหม่ให้เห็นแก่ส่วนรวมมากขึ้น เห็นแก่ประเทศชาติมากขึ้น ซึ่งผู้ที่หลุดพ้นจากการนี้ได้ก็จะได้สร้างแบรนด์ของตนเอง มีเสน่ห์ ทำให้เป็นที่นิยมชมชอบของญาติมิตรและมีโอกาสได้รับการอุปถัมภ์ค้ำชูจากคนรอบข้าง
3. Blind Belief คือการเชื่ออย่างมืดบอด โดยมากมักเชื่อเพื่อนหรือ “พี่ผู้นำขบวน” ผู้นำที่ตนนับถือซึ่งมักเป็นรุ่นพี่ไม่กี่ปีพูดอะไร ก็มักจะเชื่อ แต่ไม่เชื่อคนสูงวัยกว่าโดยเข้าใจว่าเป็นคนละยุคสมัย เป็นคนพ้นสมัยกันไปแล้ว พวกนี้จึงถูกชักจูงง่าย เช่น ชักจูงให้ไปเล่นบิทคอยน์ หรือเล่นเกมส์การพนันต่างๆ เป็นต้น
คนหนุ่มสาวจึงควรมีแนวคิดปฏิวัติ รู้จักคิดเอง เช่นในกรณีสินค้าเครื่องใช้สอยต่างๆ ไม่พึงไม่ตกเป็นทาสสินค้าแบรนด์เนม ทั้งนี้ผู้คนมากมมายชอบใช้สินค้าที่มีแบรนด์เนม เช่น กระเป๋า รองเท้า เข็มขัด ก็เพียงเพื่อยกตัวเองให้เหนือผู้อื่น นี่เป็นแนวคิดน้ำเน่าแบบเก่าๆ แบบศักดินาที่มุ่งเหยียดบุคคลอื่น ยิ่งพวกที่มุ่งอวดร่ำอวดรวย พวกนี้รังแต่จะสร้างความเดือดร้อนให้กับตัวเองในการหาวัตถุมาประดับ บ้างก็ต้องไปกู้ ไปเช่า ไปยืมคนอื่นมาเพื่อให้ตนดูดี คนรวยจริงมักไม่อวด
เราพึงมองให้ทะลุปรุโปร่งว่าพวกเขาไม่มีอะไรดีที่จะอวด จึงต้องพึ่งวัตถุภายนอกมาอวด พวกนี้น่าสงสาร พวกนี้คือดาวนพเคราะห์ที่ไม่มีแสงสว่างในตัวเอง จึงต้องอาศัยสิ่งต่างๆ มาเป็นอาภรณ์ให้ตนดูดี แต่ถ้าเราเป็นคนหนุ่มสาวหรือเยาวชนที่มีคุณภาพ เรามีสิ่งอื่นไว้อวดมากมาย เช่น ความรู้ เรียนเก่ง เล่นกีฬาเก่ง เล่นดนตรีเก่ง พูดภาษาอังกฤษเก่ง ฯลฯ สิ่งต่างๆ เหล่านี้สามารถสร้างได้ในตัวของเราเอง ไม่ใช่ต้องไปอาศัย “หนังสือมาคลุมร่างของตนไว้”
สินค้าแบรนด์เนมเหล่านี้มีมูลค่าทั้งที่แบรนด์เป็นทรัพย์สินที่จับต้องไม่ได้ เช่น ยี่ห้อ สิทธิบัตร ลิขสิทธิ์ เครื่องหมายการค้า ความสามารถในเชิงบริหาร ล้วนเป็นสิ่งที่จับต้องไม่ได้ทั้งสิ้น ทรัพย์สินที่จับต้องไม่ได้นี้เรียกว่า goodwill ซึ่งสามารถแบ่งได้เป็นเฉพาะส่วนบุคคล หรือ personal goodwill และที่เป็นขององค์กร หรือ corporate goodwill ตัวอย่างเช่น กิจการร้านก๋วยเตี๋ยวหนึ่ง อาจรุ่งเรืองด้วยฝีมือการทำอาหารของแม่ครัว หรือการต้อนรับขับสู้ที่ดีของเจ้าของร้าน เป็น personal goodwill การมี Story ต่างๆ ก็ทำให้สินค้ามีแบรนด์ที่น่าเชื่อถือ แต่ในความเป็นจริงแล้วสินค้า “ถูกและดี” แต่ไม่มีแบรนด์ก็มีมากมาย
เราต้องไม่เป็นทาสของสินค้าแบรนด์เนม เราต้องเก็บหอมรอมริบจนรวยแล้วค่อยเสพสุข เราต้องภูมิใจในความประหยัด มัธยัสต์ และผลของการสะสม เราต้องภูมิใจในความกตัญญูรู้คุณ เราต้องภูมิใจในความรู้ ไม่ใช่เปลือกนอกที่ไม่ยั่งยืนและรังแต่จะสร้างปัญหาให้กับตัวเราเอง ส่วนใครรวยจริง มีฐานะจริง เราก็พึงอนุโมทนา และตระหนักว่าสักวันเราก็จะมีเมื่อเราประหยัดและรู้จักลงทุน แต่ถ้าจะขวนขวายเอาให้ได้ในวันนี้ ก็อาจเป็นได้แค่ชั่วคราวและไม่ยั่งยืน
คนหนุ่มสาวต้องมีความคิดที่ปฏิวัติไม่เป็นสวะลอยน้ำไปตามกระแสของการเสพสุขจากสิ่งภายนอก เราสามารถสร้างแบรนด์ของเราได้ด้วยคุณลักษณะภายในของเรา ไม่ใช่อาศัยหนังสือมาคลุม
You must be logged in to post a comment Login