- ตั้งสติให้ดี “โลกนี้ มีเกิด มีตาย”Posted 1 month ago
- อย่าหาเรื่องอยู่ร้อน นอนทุกข์Posted 1 month ago
- โลกธรรมPosted 1 month ago
- อนุโมทนา คนพิการสู้ชีวิตPosted 1 month ago
- สลายความเกลียดชังPosted 1 month ago
- สู้ดีกว่าลาโลกPosted 1 month ago
- ใช้คาถาพระพยอมบ้างPosted 1 month ago
- เสียงชื่นชมดีกว่าเขาด่าPosted 1 month ago
- ต้องใช้ยาแรงกับคนขายชาติPosted 1 month ago
- บทเรียนผู้เห็นกงจักรเป็นดอกบัวPosted 1 month ago
หมอแอมป์ชี้ “โรคอ้วน” วิกฤตสุขภาพทั่วโลก เผยประเทศไทย คนกรุงเทพฯ ครองแชมป์อ้วนอันดับ 1 แนะ 3 แนวทางการแก้ไข เริ่มต้นด้วยหลัก Lifestyle Medicine

กรุงเทพฯ, ประเทศไทย – 4 มีนาคม 2568 – โรคอ้วน (Obesity) ไม่ได้เป็นเพียงปัญหาเรื่องรูปร่างที่ส่งผลต่อความมั่นใจในตัวเองเท่านั้น แต่ยังเป็นภัยเงียบที่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพในระยะยาว เพิ่มความเสี่ยงต่อโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) เช่น โรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง โรคหัวใจและหลอดเลือด โรคหลอดเลือดสมอง โรคเครียด รวมถึงมะเร็งบางชนิด นอกจากนี้ โรคอ้วนยังส่งผลต่อคุณภาพชีวิต กระทบต่อเศรษฐกิจและสังคม ทั้งในแง่ของค่ารักษาพยาบาลที่เพิ่มขึ้น และประสิทธิภาพการทำงานที่ลดลง
ในยุคที่เต็มไปด้วยอาหารที่ไม่ดีต่อสุขภาพ สิ่งอำนวยความสะดวกที่ทำให้ผู้คนเคลื่อนไหวร่างกายลดลง โรคอ้วนจึงกลายเป็นปัญหาที่พบได้บ่อยในทุกช่วงวัย ไม่ว่าจะเป็นเด็ก วัยรุ่น หรือผู้ใหญ่ การทำความเข้าใจเกี่ยวกับโรคอ้วนจึงเป็นสิ่งสำคัญ เพื่อให้เราสามารถดูแลสุขภาพของตัวเองและคนที่เรารักได้อย่างเหมาะสม

นายแพทย์ตนุพล วิรุฬหการุญ หรือ คุณหมอแอมป์ ประธานคณะผู้บริหาร บีดีเอ็มเอส เวลเนส คลินิก บริษัท กรุงเทพดุสิตเวชการ จำกัด (มหาชน) และนายกสมาคมแพทย์ฟื้นฟูสุขภาพและส่งเสริมการศึกษาโรคอ้วน กรุงเทพ (BARSO) ชี้ให้เห็นถึงสาเหตุของโรคอ้วนในหลากหลายมิติ เพื่อต้อนรับ “วันอ้วนโลก (World Obesity Day)” ซึ่งตรงกับวันที่ 4 มีนาคมของทุกปี โดยมีเป้าหมายเพื่อกระตุ้นให้ทุกคนเริ่มต้นเปลี่ยนแปลงระบบ และสร้างสังคมสุขภาพดีอย่างยั่งยืนไปด้วยกัน

โรคอ้วนกำลังขยายตัวเป็นบริเวณกว้าง
วิกฤตการณ์โรคอ้วน (Obesity crisis) เป็นปัญหาด้านสาธารณสุขระดับโลกที่ต้องจัดการอย่างเร่งด่วน รายงานจากวารสาร The Lancet ระบุว่า ในปี 2022 มีประชากรโลกมากกว่า 1 พันล้านคนที่เผชิญกับโรคอ้วน ซึ่งเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าในผู้ใหญ่ และสูงขึ้นถึงสี่เท่าในเด็กและวัยรุ่นอายุ 5-19 ปี เมื่อเทียบกับ 35 ปีก่อน ข้อมูลจาก World Obesity Atlas 2024 คาดการณ์ว่า ภายในปี 2035 จำนวนผู้ที่มีน้ำหนักเกินและโรคอ้วนจะสูงถึง 54% ของประชากรโลก หรือราว 3.3 พันล้านคน
สำหรับประเทศไทย รายงานจากกระทรวงสาธารณสุขในปี 2566 พบว่า 48.35% ของประชากรไทยมีภาวะน้ำหนักเกินหรืออ้วน โดยกรุงเทพมหานครมีอัตราความชุกสูงสุดที่ 56.4% ตามมาด้วยภาคเหนือ (51.8%) ภาคใต้ (50.8%) ภาคกลาง (46.9%) และภาคอีสาน (46.6%) ที่น่ากังวลคือ เด็กไทยอายุต่ำกว่า 5 ปี มีอัตราภาวะอ้วนอยู่ที่ 9.24% และวัยรุ่นอายุ 15-18 ปี สูงถึง 15.76% ซึ่งเป็นแนวโน้มที่เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า

สาเหตุของโรคอ้วนและแนวทางแก้ไข
โรคอ้วนเกิดจากหลายปัจจัยร่วมกัน โดยปัจจัยหลักคือ การบริโภคพลังงานมากเกินกว่าที่ร่างกายเผาผลาญได้ ซึ่งส่วนเกินเหล่านี้จะสะสมเป็นไขมัน นอกจากนี้ ยังมีปัจจัยด้านฮอร์โมน พันธุกรรม และกระบวนการเหนือพันธุกรรม (Epigenetics) ที่มีผลต่อการเผาผลาญและการสะสมไขมัน

นายแพทย์ตนุพลแนะนำแนวทางแก้ไขปัญหาโรคอ้วนผ่านหลัก Lifestyle Medicine ซึ่งประกอบด้วย 3 แนวทางหลัก ได้แก่
- ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการกิน – หลีกเลี่ยงอาหารแปรรูป ลดการบริโภคน้ำตาลและไขมันทรานส์ และเลือกอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการสูง
- เพิ่มการออกกำลังกาย – เน้นกิจกรรมที่ช่วยเผาผลาญพลังงานและเสริมสร้างกล้ามเนื้อ เช่น เดินเร็ว วิ่ง ว่ายน้ำ หรือเวทเทรนนิ่ง
- ปรับสมดุลการนอนและจัดการความเครียด – การพักผ่อนที่เพียงพอและการลดความเครียดช่วยควบคุมฮอร์โมนที่เกี่ยวข้องกับความหิวและอิ่มให้ทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ


โรคอ้วนเป็นปัญหาที่แก้ไขได้ หากทุกภาคส่วนร่วมมือกันเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมและสภาพแวดล้อมให้เอื้อต่อสุขภาพที่ดีขึ้น เพื่อสร้างสังคมที่แข็งแรงและลดภาระด้านสาธารณสุขในระยะยาว
You must be logged in to post a comment Login