- ตั้งสติให้ดี “โลกนี้ มีเกิด มีตาย”Posted 2 weeks ago
- อย่าหาเรื่องอยู่ร้อน นอนทุกข์Posted 2 weeks ago
- โลกธรรมPosted 2 weeks ago
- อนุโมทนา คนพิการสู้ชีวิตPosted 2 weeks ago
- สลายความเกลียดชังPosted 3 weeks ago
- สู้ดีกว่าลาโลกPosted 3 weeks ago
- ใช้คาถาพระพยอมบ้างPosted 3 weeks ago
- เสียงชื่นชมดีกว่าเขาด่าPosted 3 weeks ago
- ต้องใช้ยาแรงกับคนขายชาติPosted 3 weeks ago
- บทเรียนผู้เห็นกงจักรเป็นดอกบัวPosted 4 weeks ago
“สภาผู้บริโภค” ชูธง “การเปลี่ยนผ่านที่เป็นธรรม สู่วิถีชีวิตที่ยั่งยืน” ปลุกพลังผู้บริโภคในวันสิทธิผู้บริโภคสากล 2025

เมื่อวันที่ 14 มีนาคม 2568 ที่โรงแรมเซ็นทารา ไลฟ์ ศูนย์ราชการ คอนเวนชันเซ็นเตอร์ แจ้งวัฒนะ กรุงเทพมหานคร สภาองค์กรของผู้บริโภค ร่วมกับเครือข่ายผู้บริโภคกว่า 340 องค์กร จัดงานวันสิทธิผู้บริโภคสากล 2025 ภายใต้แนวคิด “การเปลี่ยนผ่านที่เป็นธรรม สู่วิถีชีวิตที่ยั่งยืน” ซึ่งมุ่งเน้นการกระตุ้นให้ผู้บริโภคมีส่วนร่วมในการสร้างสังคมและสิ่งแวดล้อมที่ยั่งยืน

คุณบุญยืน ศิริธรรม ประธานสภาองค์กรของผู้บริโภค กล่าวว่า โลกที่เปลี่ยนแปลงเร็วทำให้เกิดปัญหาใหม่ เช่น สิทธิในการบริโภคที่ยั่งยืน การคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล และการเข้าถึงการคุ้มครองทางดิจิทัล ซึ่งยังไม่ได้รับการคุ้มครองในกฎหมายปัจจุบัน โดยพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้บริโภค พ.ศ. 2522 รับรองเพียง 5 สิทธิเท่านั้น จึงต้องเร่งปรับปรุงกฎหมายให้ทันสมัย เพื่อให้ผู้บริโภคได้รับการคุ้มครองที่เท่าเทียมและเป็นธรรม
ในปี 2568 นี้ สภาผู้บริโภคและเครือข่ายกว่า 340 องค์กร จะเดินหน้าผลักดันมาตรการและนโยบายส่งเสริมการบริโภคที่ยั่งยืน เน้นให้ประชาชนเข้าถึงสินค้าที่ปลอดภัยและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมในราคาที่เหมาะสม พร้อมทั้งเสริมพลังให้เสียงผู้บริโภคมีอิทธิพลในการกำหนดอนาคตของการบริโภคที่เป็นธรรม
“เราขอเชิญชวนทุกภาคส่วนร่วมมือกันสร้างการเปลี่ยนแปลงที่ยั่งยืน เพราะสิทธิผู้บริโภคคือรากฐานสำคัญของชีวิตที่มั่นคง และเป็นกุญแจสู่การพัฒนาที่ยั่งยืน” คุณบุญยืนกล่าว

คุณสารี อ๋องสมหวัง เลขาธิการสำนักงานสภาองค์กรของผู้บริโภค กล่าวว่าสิทธิผู้บริโภคในประเทศไทยยังไม่เทียบเท่ามาตรฐานสากล เนื่องจากพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้บริโภค พ.ศ. 2522 ระบุสิทธิผู้บริโภคเพียง 5 ข้อ ได้แก่ การได้รับข้อมูลที่ถูกต้องเกี่ยวกับสินค้า, สิทธิในการเลือกสินค้า, การได้รับความปลอดภัยจากสินค้า, สิทธิในการทำสัญญาอย่างเป็นธรรม และการได้รับการชดเชยความเสียหาย ซึ่งปัญหาต่าง ๆ เช่น มลพิษ PM2.5 ส่งผลกระทบต่อสุขภาพและคุณภาพชีวิต
“เราจะผลักดันการเปลี่ยนผ่านสู่การบริโภคที่ยั่งยืน โดยต้องได้รับความร่วมมือจากทุกฝ่าย ทั้งภาครัฐ, เอกชน, และประชาชน เพื่อสร้างการเปลี่ยนแปลงและวิถีชีวิตที่ยั่งยืน” เลขาธิการกล่าว. “เราขอเชิญชวนทุกฝ่ายร่วมมือกันเพื่อสร้างการเปลี่ยนแปลงที่ทำให้เกิดวิถีชีวิตที่ยั่งยืน”

นายวิทูรย์ เลี่ยนจำรูญ เลขาธิการมูลนิธิชีววิถี กล่าวว่า การเปลี่ยนแปลงไปสู่การผลิตและการบริโภคที่ยั่งยืนต้องอาศัยพลังของผู้บริโภค ซึ่งมีบทบาทมากกว่าการเลือกซื้อสินค้า โดยสามารถสร้างการเปลี่ยนแปลงได้หลายทาง เช่น การสื่อสาร แบ่งปันความรู้ การบอยคอตสินค้า หรือแม้กระทั่งการร่วมกันฟ้องร้อง นอกจากนี้ยังต้องผลักดันให้มีกฎหมายการแข่งขันทางการค้าที่มีมาตรฐานสากลและมีตัวแทนผู้บริโภคเข้ามามีส่วนร่วม
“ผู้บริโภคไม่ได้มีอำนาจแค่การซื้อสินค้า แต่สามารถกำหนดทิศทางตลาดและวัฒนธรรมได้ โดยพลังอำนาจของเราสามารถเปลี่ยนแปลงสังคมผ่านการซื้อ การแลกเปลี่ยนข้อมูล การแบน หรือบอยคอตสินค้า และการมีส่วนร่วมในกระบวนการทางการเมือง” นายวิทูรย์กล่าว.
ผศ.ประสาท มีแต้ม อนุกรรมการด้านบริการสาธารณะ พลังงานและสิ่งแวดล้อม สภาองค์กรของผู้บริโภค กล่าวว่า ปัจจุบันมนุษย์ต้องเผชิญกับสองปัญหาใหญ่ คือ ราคาพลังงานที่แพงเพราะการผูกขาดและทรัพยากรที่มีจำกัด รวมถึงผลกระทบจากการใช้พลังงานที่ทำให้โลกร้อนและเกิดภัยพิบัติต่างๆ เช่น การสูญเสียปะการัง ซึ่งเป็นที่อยู่อาศัยของอาหารทะเล
ในโลกปัจจุบัน ผู้บริโภคควรเป็น “Prosumer” หรือผู้บริโภคที่สามารถผลิตได้ด้วย เมื่อก่อนเราแค่ซื้อไฟฟ้าและจ่ายเงินออกไป แต่ตอนนี้เราได้มีเทคโนโลยีที่สามารถผลิตไฟฟ้าเองได้ เช่นเดียวกับการสื่อสารผ่านมือถือที่สามารถส่งและรับข้อมูลได้ พร้อมกัน
“สิ่งที่เราขาดคือความมุ่งมั่นทางการเมืองที่จะดูแลโลกและรับผิดชอบต่อมัน ซึ่งสามารถทำได้ หากไม่แก้ปัญหาโลกร้อนตอนนี้ในอนาคตจะไม่มีใครแก้ได้ เพราะมันเกิดขึ้นเร็วมาก เราต้องร่วมมือกันในฐานะ Prosumer ที่แอคทีฟในการแก้ปัญหาโลกร้อน” ผศ.ประสาทกล่าว

นายพรพรหม วิกิตเศรษฐ์ ที่ปรึกษาของผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร กล่าวว่า ปริมาณขยะในกรุงเทพฯ ลดลงจาก 11,000 ตันต่อวัน ก่อนโควิด-19 เหลือ 9,000 ตันในปัจจุบัน เนื่องจากประชาชนเริ่มให้ความร่วมมือในการคัดแยกขยะมากขึ้น แต่ยังมีความท้าทายในการส่งเสริมการคัดแยกขยะอย่างมีประสิทธิภาพ โดยมีการส่งเสริมการรีไซเคิล การทำปุ๋ยหมัก หรือการแปรรูปเป็นแก๊สชีวภาพ ขณะเดียวกัน องค์กรใหญ่ต่าง ๆ เช่น ห้างสรรพสินค้าและตลาด ก็มีโครงการ Zero Waste โดยส่งเสริมการคัดแยกขยะ และจัดเก็บเศษอาหารไปหมักปุ๋ยหรือเลี้ยงสัตว์ รวมทั้งมีภาคเอกชนที่รับซื้อขยะรีไซเคิลถึงที่
ในอนาคต กทม.จะเพิ่มเตาเผาขยะอีก 2 โรง เพื่อรองรับขยะที่ไม่สามารถรีไซเคิลได้ โดยมีเป้าหมายเผาขยะได้ 2,005 ตันต่อวัน
นายพรพรหม กล่าวเพิ่มเติมว่า การคัดแยกขยะในภาคประชาชนยังมีความท้าทาย เนื่องจากกรุงเทพฯ มีมากกว่า 2 ล้านครัวเรือนที่ต้องจัดการขยะ ดังนั้น จึงมีโครงการ “บ้านนี้ไม่เทรวม” โดยจะมีการเพิ่มค่าธรรมเนียมการเก็บขยะจาก 20 บาทเป็น 60 บาทต่อเดือน เริ่มตั้งแต่ 1 ตุลาคมนี้ แต่หากคัดแยกขยะและลงทะเบียนในแอพพลิเคชั่น BKK Waste Pay จะได้รับส่วนลดเหลือ 20 บาท เพื่อเป็นแรงจูงใจให้ประชาชนคัดแยกขยะมากขึ้น
น.ส. สุรีรัตน์ ตรีมรรคา รองประธานสภาลมหายใจเชียงใหม่ ระบุถึงสถานการณ์ฝุ่น PM2.5 จังหวัดเชียงใหม่และของภาคเหนือในปี 2568 ว่า ดีกว่าปี 2567 แต่ไม่ได้หมายความว่า ปี 69,70 จะดีไปเรื่อยๆ ขึ้นอยู่กับสภาพภูมิอากาศและการลดการเผาให้ได้มากที่สุดถึงจะทำให้สถานการณ์จะค่อยๆดีขึ้น ทั้งนี้รวมถึงในระดับนโยบายที่จะดูแล การปรับเปลี่ยน วิถีการเกษตร มีทั้งนโยบายเกี่ยวกับป่าไม้ ที่ดินสิทธิที่ทำกิน ต้องดำเนินการให้ชัดเจนขอบเขตของชุมชน รัฐ รวมทั้งนโยบายสนับสนุนเติมงบประมาณ ให้ องค์การบริหารส่วนตำบล กระจายอำนาจ ในการดูแลแก้ปัญหาเรื่องไฟป่า ลดการเผา ทำแนวกันไฟ การป้องกันไฟ การเผชิญไฟ ในช่วงที่เกิดไฟขึ้น
You must be logged in to post a comment Login