- ตั้งสติให้ดี “โลกนี้ มีเกิด มีตาย”Posted 1 month ago
- อย่าหาเรื่องอยู่ร้อน นอนทุกข์Posted 1 month ago
- โลกธรรมPosted 1 month ago
- อนุโมทนา คนพิการสู้ชีวิตPosted 1 month ago
- สลายความเกลียดชังPosted 1 month ago
- สู้ดีกว่าลาโลกPosted 1 month ago
- ใช้คาถาพระพยอมบ้างPosted 1 month ago
- เสียงชื่นชมดีกว่าเขาด่าPosted 1 month ago
- ต้องใช้ยาแรงกับคนขายชาติPosted 1 month ago
- บทเรียนผู้เห็นกงจักรเป็นดอกบัวPosted 1 month ago
หยุดกินเค็ม-ใช้ยาไม่ถูกต้อง ลดความเสี่ยงไตพัง

“ผู้ป่วยเบาหวานเชื่อเพื่อนบ้านหยุดกินยาเหตุกลัวไตพัง สุดท้ายป่วยด้วยโรคไตระยะสุดท้าย” จากข่าวเล็กๆในสื่อโซเซียลที่พบว่า ประชาชนยังมีความเข้าใจผิดกับเรื่องการใช้ยารักษาโรคเรื้อรัง หรือบางคนกลัวที่จะเป็นโรคต่างๆจึงรีบกินยาดักเพื่อป้องกันไม่ให้ตัวเองป่วย หรือสุดท้ายการบริโภคอาหารรสเค็ม รสจัดเป็นปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้ปนะสิทธิภาพการทำงานของไตลดลง
มารู้จักโรคไตกันก่อน
ไตเป็นอวัยวะที่มีรูปร่างคล้ายเม็ดถั่วเหลือง ขนาดเท่ากำปั้น คนปกติมีไต 2 ข้างวางอยู่บริเวณกลางหลังข้างละ 1 อัน โดยตั้งอยู่บริเวณด้านหลังใต้ต่อกระดูกชายโครง บริเวณบั้นเอว ไตเปรียบเสมือนเครื่องกรองชนิดพิเศษ หน้าที่สำคัญของไต คือ การสร้างปัสสาวะซึ่งจะช่วยขับของเสียที่เกิดจากการเผาผลาญสารอาหารต่างๆ และช่วยในการรักษาความปกติของน้ำและเกลือแร่ของร่างกายนอกจากนั้นไตยังมีหน้าที่ในการสร้างสารที่ควบคุมความดันโลหิต และสารที่ช่วยกระตุ้นการสร้างเม็ดเลือดแดง ไตทำหน้าที่ขับถ่ายของเสียที่เกิดจากการเผาผลาญอาหารประเภทโปรตีนออกจากร่างกาย ของเสียประเภทนี้ ได้แก่ ยูเรีย ครีอะตินีน กรดยูริก และสารประกอบไนโตรเจนอื่นๆ อาหารประเภทโปรตีนมีมากในเนื้อสัตว์และอาหารจำพวกถั่ว ซึ่งหากของเสียจากอาหารประเภทโปรตีนเหล่านี้คั่งค้างอยู่ในร่างกายมากๆ จะทำให้เกิดอาการผิดปกติต่างๆ ซึ่งทางการแพทย์เรียกภาวะดังกล่าวว่า ยูรีเมีย (uremia) นอกจากนี้ไตยังทำหน้าที่กำจัดสารพิษ สารเคมี รวมทั้งขับถ่ายยาต่างๆออกจากร่างกายอีกด้วย

คนไทยป่วยด้วยโรคไตเพิ่มขึ้น
ที่ผ่านมาสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ(สสส.) ร่วมกับคณะนิเทศศาสตร์จุฬาฯจัดงานแถลงข่าว “World Kidney Day ถ้ารักไต อย่าให้ไตวาย” ภายใต้โครงการการสื่อสารเรื่องการใช้ยาเพื่อลดความเสี่ยงโรคไต เสริมสร้างความรู้ ความเข้าใจ เกี่ยวกับการใช้ยาและส่งเสริมพฤติกรรมการใช้ยาที่ถูกต้อง

ดร.นพ. ไพโรจน์ เสาน่วม รองผู้จัดการกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ สสส. กล่าวว่า องค์การอนามัยโลก ได้กำหนดให้วันพฤหัสบดีในสัปดาห์ที่สองของเดือนมีนาคมของทุกปีเป็นวันไตโลก จากรายงานภาวะสังคมไตรมาสที่ 3/2567 ของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ระบุว่า คนไทยป่วยเป็นโรคไตเรื้อรังเพิ่มขึ้นจาก 9.8 แสนคน ในปี 2565 เป็น 1.13 ล้านคน ในปี 2567 และสถานการณ์โรคไตเรื้อรังปี 2534 – 2564 มีการสูญเสียปีสุขภาวะหรือความสูญเสียด้านสุขภาพเร็วขึ้น 3.14 เท่า รองลงมาคือมะเร็ง 2เท่า หลอดเลือดหัวใจ 1.8 เท่า สาเหตุเกิดจากพฤติกรรมการบริโภคที่ไม่ถูกต้องโดยเฉพาะอาหารรสเค็ม และการบริโภคยาที่ไม่ถูกต้องและเกินความจำเป็น การเป็นโรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง และการสูบบุหรี่ ขณะที่ข้อมูลการสำรวจความรอบรู้ด้านการใช้ยาอย่างสมเหตุผลในบุคลากรด้านสาธารณสุขและประชาชน ใน 13 เขตสุขภาพ ปี 2567 ของกระทรวงสาธารณสุข พบว่า ประชาชนมีระดับความรอบรู้ด้านการใช้ยาอย่างสมเหตุผล 64.9%
ผู้ใช้แรงงานซื้อยากินเองมาก

ดร.วรรษยุต คงจันทร์ รองคณบดีด้านบริการวิชาการและเชื่อมโยงสังคม จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า ผลการวิจัยพฤติกรรม ทัศนคติ และการเปิดรับสื่อเกี่ยวกับการบริโภคยากลุ่ม NSAIDs สมุนไพร และอาหารเสริมของกลุ่มพนักงานออฟฟิศ และผู้ใช้แรงงานโดยแบ่งออกเป็น 3 กลุ่ม คือ 1.รุ่นอายุ 44-59 ปี หรือเจเนอเรชันเอ็กซ์ กลุ่มผู้ใช้แรงงานส่วนใหญ่มีโรคประจำตัว เช่น ความดันโลหิตสูง เบาหวาน และใช้ยาตามแพทย์สั่งเป็นประจำ มักซื้อยาจากร้านขายยาเองเพื่อประหยัดเวลารวมถึงการใช้สมุนไพรเสริม มีพฤติกรรมการใช้ยาชุดตั้งแต่วัยรุ่น แม้จะตระหนักถึงความเสี่ยง กลุ่มพนักงานออฟฟิศมีโรคประจำตัวคล้ายกับกลุ่มแรงงาน แต่ไปพบแพทย์และใช้ยาตามแพทย์สั่งมากกว่า ใช้ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารมากกว่ากลุ่มผู้ใช้แรงงาน และไม่ใช้ยาชุดเนื่องจากเข้าถึงข้อมูลด้านสุขภาพมากกว่า ส่วนการเปิดรับสื่อทั้งสองกลุ่มเน้นรับข้อมูลผ่านสื่อบุคคล เช่น ครอบครัวหรือเพื่อนใกล้ชิด
ดร.วรรษยุต กล่าวต่อว่า 2. รุ่นอายุ 28-43 ปีหรือเจเนอเรชันวาย กลุ่มผู้ใช้แรงงานเริ่มมีโรคประจำตัว เช่น อาการปวดกล้ามเนื้อ ทำให้ใช้ยากลุ่ม NSAIDs เป็นประจำ และใช้ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารและสมุนไพรตามคำแนะนำจากคนใกล้ชิด กลุ่มพนักงานออฟฟิศมีการดูแลสุขภาพมากขึ้น ใช้ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารโดยการปรึกษาแพทย์ ด้านทัศนคติเกี่ยวกับสุขภาพ ทั้งสองกลุ่มมีความกังวลเกี่ยวกับผลกระทบของการใช้ยาและสมุนไพรที่มีผลต่อไต แต่ยังใช้ยาและอาหารเสริมตามคำแนะนำจากแพทย์หรือหาข้อมูลจากอินเทอร์เน็ต ส่วนการเปิดรับสื่อกลุ่มนี้นิยมสื่อออนไลน์ เช่น TikTok Facebook โดยเฉพาะวิดีโอสั้นจากบุคลากรทางการแพทย์ หรืออินฟลูเอนเซอร์สายสุขภาพ

“3. รุ่นอายุ 19-27 ปี หรือเจเนอเรชันแซด กลุ่มผู้ใช้แรงงานยังไม่ค่อยมีโรคประจำตัว เน้นการใช้ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่เกี่ยวกับผิวพรรณและรูปร่าง โดยได้รับข้อมูลจากอินเทอร์เน็ตหรือคำแนะนำจากเพื่อน กลุ่มพนักงานออฟฟิศคล้ายกับกลุ่มผู้ใช้แรงงาน ในเรื่องการใช้ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร แต่จะไปพบแพทย์เมื่อมีอาการหนักขึ้นด้านทัศนคติเกี่ยวกับสุขภาพ ครอบครัวและคนใกล้ชิดมีผลต่อการตัดสินใจ โดยกลุ่มนี้มีความระมัดระวังในการใช้ยากลุ่ม NSAIDs ส่วนการเปิดรับสื่อจะเน้นการรับสื่อออนไลน์ เช่น TikTokโดยเชื่อถือข้อมูลจากแพทย์หรืออินฟลูเอนเซอร์ที่มีความน่าเชื่อถือในการให้ข้อมูลด้านสุขภาพจากข้อมูลดังกล่าวสะท้อนให้เห็นว่าการสร้างการตระหนักรู้พร้อมกับการส่งเสริมความรู้ ให้เข้าถึงกลุ่มคนทุกรุ่นเป็นเรื่องที่สำคัญ ซึ่งถือเป็นการส่งเสริมสุขภาวะคนในประเทศให้มีสุขภาพที่ดี และลดค่าใช้จ่ายของประเทศ หากประชาชนทั่วไปต้องการสอบถามข้อมูลเกี่ยวกับการใช้ยาที่ถูกต้องสามารถสอบถามข้อมูลได้ที่สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) สายด่วน 1556” ดร.วรรษยุต กล่าว
กินยาถูกวิธี งดเค็ม หมั่นตรวจค่าไต ห่างไกลโรคไต

สุดท้าย นพ.ไพโรจน์ ได้ย้ำว่า สำหรับสถานการณ์การเจ็บป่วยด้วยโรคไตของคนไทยมีสถิติแนวโน้มที่จะสูงขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งสาเหตุมีจากหลายส่วน สำหรับคนไทยส่วนหนึ่งมาจากการบริโภคอาหารที่มีโซเดียมสูง และที่น่ากังวลอีกส่วนหนึ่งคือการรับประทานยา ที่คนไทยสามารถเข้าถึงได้ง่าย ซื้อยาได้ง่าย และส่วนหนึ่งมาจากอาหารเสริมที่มีการโฆษณาและคนเข้าถึงได้ง่าย สิ่งเหล่านี้ทำให้มีจำนวนผู้ป่วยโรคไตเพิ่มมากขึ้น ภาพรวมสูญเสียเงินในการรักษาในปีหนึ่งสูงถึงหลักหมื่นล้านบาท
ดังนั้นการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมจึงเป็นเรื่องดีโดยเฉพาะเรื่องการใช้ยา ช่วยทำให้เกิดการใช้ยาเท่าที่จำเป็นอย่างถูกต้องเหมาะสมในระยะเวลาที่เหมาะสม และกลุ่มยาที่ต้องให้ความสำคัญเป็นพิเศษคือ กลุ่มยาต้านการอักเสบ กลุ่ม NSAIDs ยาชุด ยาสมุนไพร ยากลุ่มนี้ถ้ากินในระยะยาวจะส่งผลต่อไต ซึ่งถ้าไตพังแล้ว อาจเกิดไตวายเรื้อรังได้

ดร.นพ.ไพโรจน์ กล่าวว่า จำเป็นต้องมีการจัดการให้ความรู้การใช้ยาให้ถูกต้อง และสิ่งที่สำคัญ คือ ต้องเร่งให้มีการสื่อสารสาธารณะให้กับประชาชนมีความเข้าใจเกี่ยวกับการใช้ยาเท่าที่จำเป็น ยาตัวไหนใช้ได้ กินไม่ได้หรือกินด้วยขนาดและระยะเวลาที่เหมาะสม ซึ่งจะช่วยป้องกันไตได้ในระดับหนึ่ง และควรมีการตรวจค่าไตเป็นประจำปี จึงอยากจะเน้นย้ำว่าไตเป็นอวัยวะที่มีส่วนสำคัญ เราสามารถดูแลรักษาและป้องกันได้ไม่ให้สารพิษหรือยาเข้าไปในร่างกายได้ และปรับเปลี่ยนพฤติกรรมจะทำให้เรามีสุขภาพดี ลดค่าใช้จ่ายในภาพรวมของประเทศไทย



ส่วนเรื่องของอาหารเสริม ดร.นพ.ไพโรจน์ ระบุว่า การรับสารอาหารที่จำเป็น โดยส่วนมากการรับประทานอาหารโดยปกติก็เพียงพอแล้วทั้ง 3 มื้อ กินผัก ผลไม้ให้เพียงพอ บางคนไปรับประทานอาหารเสริมเราจะไม่รู้ว่าในส่วนผสมของอาหารเสริมนั้นมีอะไรบ้าง อาจมีสารบางอย่างที่ไม่มีข้อมูลทางวิชาการสนับสนุน ทำให้เราได้รับสารโดยไม่จำเป็น แนะนำว่าหากต้องกินอาหารเสริมให้กินตามคำแนะนำที่แพทย์สั่ง ไม่ควรเชื่อโฆษณา ต้องดูฉลาก ข้อมูล หรืออาจปรึกษาแพทย์ เภสัชกรก่อนทานอาหารเสริม
You must be logged in to post a comment Login