- ตั้งสติให้ดี “โลกนี้ มีเกิด มีตาย”Posted 1 month ago
- อย่าหาเรื่องอยู่ร้อน นอนทุกข์Posted 1 month ago
- โลกธรรมPosted 1 month ago
- อนุโมทนา คนพิการสู้ชีวิตPosted 1 month ago
- สลายความเกลียดชังPosted 1 month ago
- สู้ดีกว่าลาโลกPosted 1 month ago
- ใช้คาถาพระพยอมบ้างPosted 1 month ago
- เสียงชื่นชมดีกว่าเขาด่าPosted 1 month ago
- ต้องใช้ยาแรงกับคนขายชาติPosted 1 month ago
- บทเรียนผู้เห็นกงจักรเป็นดอกบัวPosted 1 month ago
นิราศยุโรป 5 เมือง

ผู้เขียน : ดร.โสภณ พรโชคชัย
(โลกวันนี้รายวัน ประจำวันที่ 18 มี.ค 68)
ชีพจรลงเท้าจริงๆ ในเวลาประมาณ 11 วันเดินทางถึง 5 เมืองในยุโรป นับเป็นนิราศที่เคลื่อนย้ายมากที่สุดก็ว่าได้ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา
ในระหว่างวันที่ 5 – 15 มีนาคม 2568 ผมในฐานะประธานศูนย์ข้อมูลวิจัยและประเมินค่าอสังหาริมทรัพย์ไทย บจก.เอเจนซี่ ฟอร์ เรียลเอสเตท แอฟแฟร์ส (www.area.co.th) ได้เดินทางไปยุโรปโดยเฉพาะที่อังกฤษและฝรั่งเศส และแวะต่อเครื่องที่มิวนิกในช่วงขากลับ แต่นับเป็นการเดินทางที่ค่อนข้างตื่นเต้น เนื่องจากการทำวีซ่าของ 2 ประเทศคือวีซ่าอังกฤษที่ต้องทำต่างหากแตกต่างไปจากวีซ่าเชงเก้นของยุโรป ดีที่ผมเองมีวีซ่าเชงเก้นตั้งแต่ปีที่แล้วจึงไม่ต้องทำ แต่ศรีภริยาที่ไปด้วยต้องทำ และในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ ผมก็ต้องไปโตเกียว 3-6 กุมภาพันธ์ และมีกำหนดการไปสิงคโปร์และฮานอย จึงทำให้เป็นห่วงว่าจะทำวีซ่าทันหรือไม่ แต่ก็โชคดีที่ทันกำหนด
ในบ่ายวันพุธที่ 5 มีนาคม ผมกับภริยาก็เหิรฟ้ากันไปที่กรุงลอนดอนก่อนเลย เมื่อลงจากเครื่องบินก็นั่งรถลิมูซีนที่มีคนขับมารับที่สนามบินเรียบร้อยตรงไปที่เมืองออกซ์ฟอร์ดเลย ไปถึงก็เป็นค่ำวันเดียวกัน พอดีคืนแรกโรงแรมเต็ม เลยไปนอนโฮสเต็ลที่มีเตียงนอน 6 เตียง ผมกับภริยาก็นอนคนละเตียง อีก 4 เตียงก็เป็นเด็กๆ นักศึกษารุ่นเยาวชนทั้งชายและหญิง แต่ก็ผ่านไปได้ด้วยดี แถมมีอาหารเช้าในวันพฤหัสบดีที่ 6 มีนาคมให้ด้วย จากนั้นก็ย้ายไปนอนห้องพักแบบ Airbnb ต่ออีก 2 คืนจนถึงวันเสาร์ที่ 8 มีนาคม ก็เช็คเอาท์ไปกรุงลอนดอนต่อ
ที่ผมไปเมืองออกซ์ฟอร์ดก็เพราะไปรับประกาศนียบัตรการอบรมด้านอสังหาริมทรัพย์ของมหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ด พอดีผมเป็นกรรมการสหพันธ์อสังหาริมทรัพย์สากล (FIABCI) ที่จัดการอบรมนี้ร่วมกับมหาวิทยาลังดังกล่าว เลยลงทะเบียนเรียนด้วย เป็นการเรียนออนไลน์เป็นระยะเวลาประมาณเกือบ 2 เดือน พอจบเขาก็ให้ไปรับประกาศนียบัตรในวันศุกร์ที่ 7 มีนาคม ผมเองไม่เคยไปแต่ภริยากับลูกสาวที่เป็นสถาปนิกเคยไปอบรมหลักสูตรระยะสั้น 3 เดือนเรื่องการออกแบบที่มหาวิทยาลัยแห่งนี้
เมื่อได้ไปทั้งที ผมก็เลยไปเที่ยวตระเวนชมเมืองออกซ์ฟอร์ดและมหาวิทยาลัยดังกล่าว ผมได้ไปดูสถานีรถไฟ สถานีรถบัส การจัดระเบียบเมืองแบบรวมศูนย์ อาคารสถานที่ต่างๆ ของมหาวิทยาลัย ป้ายรถเมล์แบบอังกฤษที่มีป้ายโฆษณา หมู่ตึก Christchurch และบริเวณโดยรอบ สถาบัน Thatcher Business Education Centre และ Said Business School และสภาพเมืองออกซ์ฟอร์ดโดยรวม (ดูคลิปต่างๆ ที่ผมบันทึกไว้ใน FB ได้)
พอถึงเช้าวันเสาร์ที่ 8 มีนาคม พวกเราก็ขึ้นรถบัสเข้ากรุงลอนดอน ใช้เงินเพียง 8 ปอนด์โดยประมาณ โดยครั้งแรกจะขึ้นรถไฟ แต่เป็นเงินประมาณ 20 ปอนด์จึงเปลี่ยนใจ เมื่อไปถึงก็พักที่พักแบบ Airbnb เช่นเดิม สะดวกสบายดี พอเช้าวันอาทิตย์ที่ 9 มีนาคมก็ออกตระเวนเที่ยวในกรุงลอนดอนในพื้นที่แหล่งท่องเที่ยวยอดฮิตต่างๆ เช่น Big Ben พระราชวังบักกิ้งแฮม ฯลฯ และก็ไม่ลืมแวะไปที่ Royal Institution of Chartered Surveyors (RICS) ซึ่งเป็นสถาบันนักวิชาชีพอสังหาริมทรัพย์ที่ผมในฐานะผู้ประเมินค่าทรัพย์สินเป็นสมาชิกมากว่า 20 ปีแล้ว
ในด้านอสังหาริมทรัพย์ ผมได้ไปชมถนนที่มีราคาอสังหาริมทรัพย์ที่แพงที่สุด คือถนน Knightsbridge และห้างแฮร์ร็อดโดยได้ทำเป็นคลิปวีดีโอไว้ใน FB เช่นกัน ท่านใดสนใจก็สามารถไปดูได้ นอกจากนี้ยังได้ชี้ให้เห็นว่ารถไฟฟ้าในกรุงลอนดอนแพงมาก เมื่อเทียบกับประเทศอื่น ทั้งนี้เพราะรัฐบาลแทบไม่ได้อุดหนุนเลย รายได้ส่วนใหญ่ 75% จึงมาจากค่าโดยสารและอีกส่วนหนึ่งมาจากค่าโฆษณาต่างๆ ที่รัฐบาลช่วยอาจเป็นเพียง 5% เท่านั้น (แต่ในไทยรถไฟฟ้าบีทีเอสก็แพงใช่ย่อย)
ผมอยู่ที่กรุงลอนดอนแค่ 2 คืนเดียว พอบ่ายวันจันทร์ที่ 10 มีนาคม ก็ขึ้นเครื่องบินไปต่อที่กรุงปารีส ไปถึงก็ราว 4 โมงเย็นแล้ว ผมทราบว่าที่ปารีสน่าจะมีมิจฉาชีพมาก ก็เลยได้บริการรถลิมูซีนอีกไปส่งถึงโรงแรมที่พัก ซึ่งอยู่ใกล้สถานีรถไฟที่จะเดินทางไปทางใต้พอดี ก็เลยไปเที่ยวประปราย เช่น ไปถ่ายรูปที่หอคอยไอเฟล ประตูชัย และอื่นๆ รวมทั้งไปดูตลาดสด สวนสาธารณะลอยฟ้า เป็นต้น พอบ่ายโมงวันอังคารที่ 11 มีนาคม ก็นั่งรถไฟชั้น 1 ไปเมืองคานส์ ซึ่งเป็นเมืองประกวดเทศกาลภาพยนตร์ระดับโลกที่หลายคนรู้จักเลย
พอไปถึงเมืองคานส์ก็ได้พักในที่พักแบบ Airbnb อีก โดยเลือกในเมืองคานส์ (ห่างใจกลางเมืองไป 2 กิโลเมตร) จะได้เดินทางได้สะดวก ไม่ต้องไปพักไกลถึงเมืองนีชหรือเมืองข้างเคียง (โรงแรมที่เมืองคานส์เต็มมากๆ) ทั้งนี้วัตถุประสงค์ที่ไปก็คือไปงานเทศกาลอสังหาริมทรัพย์ชื่อ MIPIM ซึ่งเป็นงานอสังหาริมทรัพย์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก เรียกว่าถ้าจะเดินทุกบูธ ต้องใช้เวลา 2-3 วัน งานมีในระหว่างวันที่ 11-14 มีนาคม 2568
ในวันพุธที่ 12 มีนาคม ผมก็เข้าประชุมคณะกรรมการสหพันธ์อสังหาริมทรัพย์สากล (FIABC) ซึ่งจัดขึ้น ณ โรงแรม Majestic อันลือชื่อในเมืองคานส์ พอประชุมเสร็จในเวลาประมาณเที่ยง ก็ไปดูงาน MIPIM ต่อ แต่โดยที่ผมไปมานับสิบๆ รอบแล้ว (จัดทุกปีในเดือนมีนาคม) ผมก็เพียงไปดูโดยสังเขป และพอถึงวันพฤหัสบดีที่ 13 มีนาคม ผมกับศรีภริยาก็เลยไปเที่ยวประเทศโมนาโก ซึ่งอยู่ทางตะวันออกของเมืองคานส์ และอยู่ใกล้ชายแดนอิตาลี โดยประเทศนี้มีพื้นที่แค่ 2 ตารางกิโลเมตร มีประชากร 40,000 คน จึงมีความหนาแน่นของประชากรถึงเกือบ 20,000 คนต่อตารางกิโลเมตร
พอถึงวันสุดท้ายคือวันศุกร์ที่ 14 มีนาคม ผมก็เข้างานเทศกาลอสังหาริมทรัพย์อีกครั้ง ไปพบปะพูดคุยกับนักธุรกิจหลากหลาย และยังได้เจาะลึกถึงตลาดที่อยู่อาศัยในประเทศฝรั่งเศสว่า ที่นั่นมีความขาดแคลนที่อยู่อาศัยสะสมถึง 200,000 หน่วย ในขณะที่ไทยมีบ้านว่างเหลือล้นอยู่ 1.2 ล้านหน่วย แต่ละปีฝรั่งเศสผลิตที่อยู่อาศัยใหม่เพียง 30,000 หน่วย ในขณะที่ประเทศไทยผลิตถึง 200,000 หน่วย ยกเว้นในปีล่าสุด (2567) ที่เศรษฐกิจไม่ค่อยดี จึงผลิตเพียง 120,000 หน่วย
ในเย็นวันศุกร์ที่ 14 มีนาคม ผมกับศรีภริยา ก็เดินทางไปเมืองนีช เพื่อต่อเครื่องบิน เพราะที่เมืองคานส์มีขนาดเล็ก ไม่มีสนามบินพาณิชย์ของตนเอง โดยนั่งรถไฟไปเพียง 40 นาที จากนั้นก็ต่อเครื่องบินไปนครมิวนิก เพื่อขึ้นเครื่องบินของสายการบินลุฟฮันซากลับประเทศไทย โดยใช้เวลาราว 10 ชั่วโมง ถึงกรุงเทพมหานครในวันเสาร์ที่ 15 มีนาคม เวลา 14:30 น. เป็นอันจบการเดินทางในระยะเวลาประมาณ 11 วัน
ผมได้ทำคลิปเพื่อการศึกษาต่างๆ ไว้หลายราย เช่น ทำไมประเทศตะวันตกจึงมี Airbnb ได้แต่ในไทยกลับไม่ได้ ฯลฯ โดยท่านสามารถดูรายละเอียดได้ที่ www.facebook.com/dr.sopon4
You must be logged in to post a comment Login